
มิติหุ้น – รายงานล่าสุดของดีลอยท์ ชี้ให้เห็นว่าการเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้กับสาธารณะชน (IPO) ของประเทศไทยในปีนี้ยังคงซบเซา แม้ว่าจะมีสัญญาณการฟื้นตัวในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ตาม
ประเทศไทยมีการเสนอขาย IPO ขนาดเล็กหลายรายการในปีนี้ ยกเว้นกรณีของบริษัท มิสเตอร์ ดี. ไอ. วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งระดมทุน IPO ได้ 174 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งผลการดำเนินงานของตลาดในประเทศไทยได้รับแรงกดดันจาก ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ หนี้ครัวเรือนที่สูง ความผันผวนของตลาดโลก และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบในการระดมทุน
จากรายงานของดีลอยท์ ในช่วง 10.5 เดือนแรกของปี 2568 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการเสนอขาย IPO จำนวน 102 หลักทรัพย์ จากตลาดหลักทรัพย์ทั้งหกแห่ง โดยมูลค่าการระดมทุนประมาณ 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มขึ้นร้อยละ 53 ของมูลค่ารวมของเงินที่ระดมทุนได้จาก IPO ในภูมิภาค แม้ว่าจำนวนหลักทรัพย์จดทะเบียนจะลดลงก็ตาม ซึ่งเป็นผลมาจากหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น การเปลี่ยนแปลงของพลวัตภาคอุตสาหกรรม และผลการดำเนินงานของตลาดที่แข็งแกร่งในสิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
วิลาสินี กฤษณามระ พาร์ทเนอร์ สายงานการให้บริการด้านตลาดทุน ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยสามารถเรียนรู้จากประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค เพื่อปรับปรุงแนวโน้ม IPO สำหรับปี 2569
ผลการดำเนินงาน IPO ของประเทศไทยในปีนี้ค่อนข้างซบเซา แสดงให้เห็นว่าความท้าทายเชิงโครงสร้างซึ่งมีผลต่อความรู้สึกของนักลงทุนมากกว่าตลาดเพื่อนบ้าน ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคได้รับประโยชน์จากขั้นตอนการจดทะเบียนที่ชัดเจนขึ้นและมีการปฏิรูปเชิงรุก ประเทศไทยก็เริ่มเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน โดยริเริ่มโครงการเพิ่มความน่าดึงดูดใจของตลาดทุนไทย โครงการ JUMP+ และความพยายามของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในการทำให้ขั้นตอนการจดทะเบียนง่ายขึ้น จะค่อย ๆ เสริมสร้างความเชื่อมั่นของตลาดและปรับปรุงความสามารถในการแข่งขันของตลาดหลักทรัพย์ไทย ด้วยแรงผลักดันด้านการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบอย่างต่อเนื่องและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคที่มากขึ้น เราคาดว่าบริษัทที่อยู่ระหว่างการยื่นขอจดทะเบียน IPO ของประเทศไทยจะกลับมาเพิ่มจำนวนอีกครั้งในปี 2569”
การที่บริษัทที่มีมูลค่าสูงขึ้นในภาคอสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน และสินค้าอุปโภคบริโภค เข้าจดทะเบียนในภูมิภาค ได้เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักที่ทำให้มูลค่ารวมของการระดมทุนจาก IPO เพิ่มขึ้นในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่มีการระดมทุน 3.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 136 หลักทรัพย์ และปี 2566 ที่มีการระดมทุน 5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 163 หลักทรัพย์ของภูมิภาค โดยภาคอสังหาริมทรัพย์มีความโดดเด่น มีมูลค่าการระดมทุนคิดเป็นร้อยละ 33 ของมูลค่าที่ระดมทุนทั้งหมด ตามมาด้วยภาคพลังงานและทรัพยากร และภาคการเงิน สำหรับภาคอุตสาหกรรม มีการเชื่อมโยงกับการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน (Mobility and energy infrastructure) ที่กำลังได้รับความสนใจท่ามกลางการย้ายฐานการผลิต ส่วนการเสนอขายในภาคีนวัตกรรมทางการแพทย์ยุคใหม่ ยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันและ Private Equity
ตลาด IPO ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตด้วยวิถีที่แตกต่างกันในช่วง 10.5 เดือนแรกของปี 2568 สิ่งที่น่าสังเกตคือ การจดทะเบียนที่ได้รับการสนับสนุนจาก Private Equity (PE-backed listings) ได้กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทั่วทั้งภูมิภาค ซึ่งช่วยรักษาการไหลเข้าของเงินทุนที่มั่นคงและดึงดูดความสนใจของนักลงทุนอย่างมาก เมื่อมองไปข้างหน้าถึงปีที่จะมาถึง ดีลอยท์คาดการณ์ว่าความต้องการของนักลงทุนจะยังคงแข็งแกร่ง โดยได้รับการสนับสนุนจากการเกิดขึ้นของโอกาสทางการตลาดใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
สิงคโปร์และเวียดนามเป็นผู้นำด้านมูลค่า ขณะที่มาเลเซียและอินโดนีเซียนำด้านปริมาณ
สิงคโปร์ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของตลาด IPO ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีหลักทรัพย์จดทะเบียน 9 รายการ ซึ่งระดมทุนได้ 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 10.5 เดือนแรกของปี มาจากการจดทะเบียนใน REITs (ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์) ขนาดใหญ่ 2 รายการ ได้แก่ NTT DC REIT และ Centurion Accommodation REIT โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการปฏิรูปกฎระเบียบและควบคู่ไปกับสภาพแวดล้อมของอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของตลาด ทำให้การระดมทุนแต่ละรายการมีมูลค่ามากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 88 ของเงินทุนทั้งหมดที่ระดมได้ ทำให้มูลค่าการระดมทุนจากตลาด IPO ของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เท ฮวี ลิง ลีดเดอร์ สายงานการให้บริการด้านตลาดทุน ดีลอยท์ เซาท์อีสท์ เอเชีย กล่าวว่า “การพลิกฟื้นของสิงคโปร์ได้รับการสนับสนุนจากการปฏิรูปกฎระเบียบและตลาด รวมถึงการจดทะเบียนของบริษัทขนาดใหญ่ ส่งสัญญาณความเชื่อมั่นให้นักลงทุน และดึงดูดความสนใจจากกองทุนระดับภูมิภาคและระดับโลก นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะที่ทำโดยคณะทำงานทบทวนตลาดตราสารทุนของธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้สิงคโปร์ก้าวไปสู่ระบบการกำกับดูแลที่เน้นการเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องทิศทางของตลาดพัฒนาแล้ว และที่สำคัญยังมีมาตรการสนับสนุนธุรกิจ เช่น โครงการพัฒนาตลาดตราสารทุนมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ช่วยกระตุ้นสภาพคล่องและประสิทธิภาพอย่างเจาะจงให้กับตลาดทุน IPO ของสิงคโปร์ และเสริมสร้างตำแหน่งของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) ในการเป็นผู้นำของการฟื้นตัวของตลาดทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
เวียดนามมีการเสนอขาย IPO ครั้งใหญ่ในภาคการเงินถึง 2 รายการ ได้แก่ Techcom Securities Joint Stock Company และ VP Bank Securities ซึ่งทั้ง 2 แห่งระดมทุนรวมกันได้ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สิ่งนี้เป็นการเปิดทางสำหรับวัฏจักรการเติบโตครั้งใหม่ของตลาด IPO ของเวียดนาม หลังจากที่ซบเซามาหลายปีตั้งแต่ปี 2561
วัน ทรินห์ บุย พาร์ทเนอร์ สายงานการให้บริการตลาดทุนดีลอยท์ เวียดนาม กล่าวว่า “ตลาด IPO ของเวียดนามกำลังเข้าสู่วัฏจักรใหม่ด้วยหลักทรัพย์ที่เตรียม IPO ที่มีคุณภาพสูงในภาคการเงิน อสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก เกษตรกรรม และเทคโนโลยี โดยหัวใจของการเปลี่ยนแปลงนี้ คือ การปฏิรูปกฎระเบียบครั้งใหญ่ที่มุ่งเป้าไปที่การทำให้ตลาดทุนทันสมัย ทั้งนี้ รัฐบาลกำลังเพิ่มความโปร่งใส ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และปรับปรุงขั้นตอนการจดทะเบียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับนักลงทุนมากขึ้น โดยการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์เหล่านี้กำลังขับเคลื่อนการไหลเข้าของเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้น พร้อมวางตำแหน่งเวียดนามให้เป็นหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจที่สุดของเอเชีย สำหรับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ”
ประเทศมาเลเซีย เป็นผู้นำในด้านจำนวน IPO โดยมีหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนถึง 48 รายการ ระดมทุนได้ 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนใหญ่ผ่านตลาด ACE Market แม้ว่าตัวชี้วัดหลักโดยรวม (มูลค่ารวมของเงินที่ระดมทุนจาก IPO, มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของ IPO และจำนวน IPO) จะลดลง แต่มาเลเซียก็กำลังเดินหน้าไปสู่การบรรลุเป้าหมายการมีจำนวนหลักทรัพย์จดทะเบียน 60 รายการภายในสิ้นปีนี้ สิ่งนี้ช่วยขับเคลื่อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยั่งยืน และหลักทรัพย์ที่เตรียม IPO ในตลาดที่แข็งแกร่ง
อินโดนีเซียมีสถิติการระดมทุน 24 รายการ โดยระดมทุนได้ 921 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยพบว่าการเสนอขายมีมูลค่าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับจำนวนหลักทรัพย์จดทะเบียน ภาคพลังงานและทรัพยากร ยังเป็นเรือธงในการระดมผ่าน IPO โดยเฉพาะภาคธุรกิจน้ำมันและก๊าซ พลังงานหมุนเวียน และอุตสาหกรรมด้านบริการพลังงานที่เกี่ยวข้อง จากบริษัท PT Merdeka Gold Resource TBK และ PT Chandra Data Investasi Tbk ซึ่งระดมทุนได้ 279 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 144 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ
การจดทะเบียนที่ได้รับการสนับสนุนจาก Private Equity (PE) เติบโตขึ้น
การเข้ามามีส่วนร่วมของ Private Equity ในการระดมทุนของตลาดหลักทรัพย์ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วยยกระดับขนาดการระดมทุนเฉลี่ยและเพิ่มความเชื่อมั่นของตลาด และมีสัดส่วนการเพิ่มมูลค่าการระดมทุนถึงร้อยละ 54 แม้ว่าจะมีการระดมทุน โดยรวมลดลง ซึ่งบ่งชี้ว่าบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจาก PE มักจะเป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่และมีความมั่นคง และมีเป้าหมายเพื่อการ exit ผ่านการระดมทุน สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนไปสู่การมุ่งเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ โดย PE และนักลงทุนสถาบันมีบทบาทที่มีอิทธิพลมากขึ้นในการกำหนดการเติบโตของตลาดทุนในภูมิภาค
การฟื้นตัวนี้ยังคงสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมการถอนการลงทุนให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งในภูมิภาค ธุรกรรมการลงทุนเหล่านี้ให้ความสนใจในกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (REITs และศูนย์ข้อมูล) การดูแลสุขภาพ สินค้าอุปโภคและบริโภค และเทคโนโลยี และสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มทางเศรษฐกิจและการลงทุนในวงกว้างของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มุ่งสู่การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและการลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้
การระดมทุนของ PE ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยพบว่ามีการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอของกลุ่มบริษัทที่อยู่ระหว่างการเตรียมตัวเพื่อระดมทุน และเป็นทางเลือกในการ Exit ช่วงปี 2569
ภาพรวมตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แม้จะมีความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาค ตลาดในภูมิภาคยังคงมีความยืดหยุ่น โดยได้รับการสนับสนุนจากการปฏิรูปกฎระเบียบ การกระจายตัวของภาคอุตสาหกรรม รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นและสภาพแวดล้อมที่แข็งแกร่งนี้ บ่งชี้ว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นภูมิภาคที่น่าดึงดูดสำหรับการระดมทุนในปี 2568 และปีต่อ ๆ ไป
เมื่อมองไปข้างหน้าถึงปี 2569 ฮวี ลิง กล่าวว่า “เนื่องจากสภาวะตลาดดีขึ้น บริษัทที่ต้องการทำ IPO จึงยังคงต้องจับตาดูตลาดทุนอย่างใกล้ชิดเพื่อหาจังหวะที่เหมาะสมในการสร้างมูลค่าสูงสุด และปรับสมดุลสภาพคล่องจากสภาวะตึงตัวที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นสามารถปลดล็อกมูลค่าได้”
หมายเหตุสำหรับบรรณาธิการและผู้สื่อข่าว: ข้อมูลทั้งหมดในรายงานนี้จัดทำ ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 โดยรายงานฉบับสมบูรณ์ IPO ของปี 2568 จะถูกเผยแพร่ในเดือนมกราคม 2569
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon

































