
ในที่สุดแผน “Master Plan” ฉบับใหม่ปี 2568 ของ AOT หรือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้ผ่านบอร์ดแล้วรอเข้า ครม.อนุมัติต่อไปนั้น เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค ซึ่งจะเร่งผลักดันในหลายๆ เรื่องเพื่อเพิ่มโอกาสการสร้างรายได้ให้กับ AOT พร้อมยกระดับการให้บริการแก่ผู้โดยสาร โดยแนวทางหนึ่งที่เร่งด่วนคือการเจรจาปรับขึ้นค่า PSC (Passenger Service Charge) หรือ ค่าบริการผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ให้เป็นไปตามหลักสากล
กบร.ไฟเขียวปรับขึ้น PSC
โดยล่าสุด คณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) โดยมี “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม เป็นประธาน มีมติปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ (Passenger Service Charge) เป็น 1,120 บาท/คน จากปัจจุบันเก็บที่ 730 บาท/คน ซึ่งไม่ได้มีการปรับมา 19 ปีแล้ว สำหรับท่าอากาศยาน 6 แห่งที่ AOT บริหาร ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, ภูเก็ต, เชียงใหม่ แม่ฟ้าหลวงเชียงราย และหาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นการปลดล็อกแนวทางการเพิ่มรายได้ของ AOT และยังเป็นการสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้นเพราะ AOT เก็บค่า PSC ถูกที่สุดเมื่อเทียบกับสนามบินหลายแห่งที่เก็บค่า PSC สูงกว่า
อาทิ ท่าอากาศยานชางงี ของสิงคโปร์ อยู่ที่ 1,672บาท/คน,ท่าอากาศยานดูไบ อยู่ที่ 1,115 บาท/คน หรือแม้แต่ท่าอากาศยานในแถบยุโรป อย่าง ท่าอากาศยานฮีทโธรว์ สหราชอาณาจักร อยู่ที่ 6,397 บาท/คน หรือแม้แต่ท่าอากาศยานนานาชาติ ชาร์ล เดอ โกล ฝรั่งเศส อยู่ที่ 3,080 บาท/คน เป็นต้น
เป้าหมายเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวพรีเมี่ยม
ซึ่งแนวทางดังกล่าว ก็เพื่อการวางแผนเพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวให้หลากหลาย และที่สำคัญการขยับไปยังกลุ่ม พรีเมี่ยมด้วย ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวราคาถูกเพียงเท่านั้น เนื่องจากประเทศไทยเป็น Destination ของนักท่องเที่ยว AOT มีศักยภาพที่เพียบพร้อม และจำเป็นต้องมีการขยายแผนการลงทุนตาม Master Plan เพื่อรองรับผู้โดยสารในอนาคตทั้ง การขยายทั้งการบริการภาคพื้น คาร์โก้ รวมทั้งศูนย์ซ่อมเครื่องบิน เป็นต้น ดังนั้นในระยะถัดไปอาจจะต้องมีการพิจารณาเก็บค่า transit transfer หรือ การเปลี่ยนเครื่องบินระหว่างเดินทาง ซึ่งเหล่านี้คือเป้าหมายการเพิ่มรายได้ aero ที่ 60% ในระยะ 2ปี
ขณะที่มุมมองนักวิเคราะห์ต่างมองเป็นเรื่องที่ดีในเรื่องการปรับขึ้น PSC โดย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า การปรับขึ้น PSC ที่ระดับ 390 บาท ในรอบ 19 ปี เป็น 1,120 บาท/คน เพื่อสะท้อนทิศทางที่เปลี่ยนไป และเพื่อให้ AOT นำเงินไปลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสนามบิน พร้อมมุ่งสู่การเป็นฮับการบินในภูมิภาค โดยที่ AOT ไม่ต้องแบกต้นทุนนานเกินไป (การลงทุนล่าสุด การลงทุนในโครงการอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) มูลค่า 6.25 หมื่น ลบ. ซึ่งเปิดให้บริการเมื่อ ก.ย.66)

ส่วนประเด็นการแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรีกับ “คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี” หรือ KPD บอร์ด AOT มติเห็นชอบแนวทางให้แก้สัญญาดิวตี้ฟรีกับ KPD ทั้ง 3 สัญญา (สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง และสนามบินภูมิภาค) โดยมีการปรับเงื่อนไขใหม่ซึ่ง บล.ดาโอ(ประเทศไทย) ระบุว่า ถือเป็นเงื่อนไขใหม่ที่ดีกว่าคาดซึ่งประเมินรายได้ราว 7.8 พัน ลบ.(สูงกว่าที่ประเมินไว้ราว 7 พัน ลบ.)สัญญาใหม่จะมีผล ม.ค.69 เช่นเดียวกับปรับเพิ่ม PSC ก็ถือว่ามากกว่าฝ่ายวิจัยคาดไว้ราว 200-300 บ.โดยปรับที่ 390 บ.พร้อมคาดกำไรสุทธิปี 69-70 เพิ่มขึ้น 35% และ 56% เป็น 2.15 หมื่น ลบ.เติบโต19% และ 2.78 หมื่น ลบ.เติบโต 29%
“เบื้องต้นคาดจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอีกราว 1 หมื่น ลบ. หากประเมินจำนวนผู้โดยสารราว 34-35 ล้านคน/ปีจากการปรับค่า PSC เพื่อหวังเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่หลากหลายโดยเฉพาะกลุ่มพรีเมียม และที่สำคัญเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง รวมทั้งแนวทางแก้ไขสัญญากับ KPD ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับ AOT และผู้ถือหุ้น เพื่อก้าวต่อไปของ AOT สู้ฮับการบินของภูมิภาค ตาม Master Plan ฉบับใหม่ปี 2568” น.ส.ปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าว
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon
































