
มิติหุ้น – PI Daily ตลาดหุ้นสหรัฐฯกังวลหุ้น Tech ในไทย DELTA อาจเผชิญจิตวิทยาเชิงลบ แต่ประเมินว่ากลุ่ม Value Stock จะได้ประโยชน์จำพวก สื่อสาร ธนาคาร โรงพยาบาล ส่วนผลกระทบไทย – กัมพูชา ยังมองผลกระทบต่อเศรษฐกิจจำกัด สัปดาห์นี้รอติดตามประชุม กนง. คาดลดดอกเบี้ย (ดีต่อหุ้น Non Bank)
ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อวันศุกร์ปิดลบ 245 จุด (-0.5%) แต่ดัชนี S&P500 , Nasdaq ปิดในแดนลบเพราะเผชิญแรงขายหุ้นในกลุ่ม Technology ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.26% นักลงทุนยังคงกังวลกับภาวะอุปทานส่วนเกิน
คืนวันศุกร์ที่ผ่านมามิได้มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ แต่ทั้งนี้การเคลื่อนไหวของ US Bond Yield พบว่ายังคงปรับลงพร้อมกับ Dollar Index ที่อ่อนค่า สะท้อนมุมมองเชิงผ่อนคลายนโยบายการเงินในมุมมองของนักลงทุน ข้อมูลจาก CME FED Watch ล่าสุดให้น้ำหนัก 75% ที่ FED จะคงดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ม.ค. โดยนักลงทุนหันไปให้น้ำหนักกับกลุ่ม Technology ในสหรัฐฯจากการปรับลงของหุ้น AVGO , Oracle แม้ทั้ง 2 บริษัทจะรายงานผลประกอบการที่ดีกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ แต่อย่างไรก็ตามสำหรับ Oracle ราคาหุ้นได้ปรับขึ้นมากว่า 77% (ต้นปีเทียบกับช่วงสูงสุด) ทำให้ในแง่ของ PE ซื้อขายที่ 50x PE ประกอบกับภาระหนี้สินที่ค่อนข้างสูงทำให้การลงทุนจากนี้การเติบโตอาจเริ่มจำกัด ในส่วนของ AVGO ซื้อขายที่ PE ระดับ 85x ค่อนข้างแพงและสะท้อนความคาดหวังที่สูง
แต่อย่างไรก็ตามหุ้น Technology ตัวอื่นๆปรับตัวลงเพียงเล็กน้อย (Amazon -1.8% NVIDIA -3.3% Alphabet -1%) โดย 3 ตัวข้างต้นมีระดับ Valuation ที่มิได้แพงจนเกินไป กลับมาที่ตลาดหุ้นไทยพบว่า SET INDEX ปิดทรง (+0.04%) ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่ม Defensive BDMS+3% CPALL +1.7% CPN+1.9% มองว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนักลงทุนคาดหวังกับการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลชุดใหม่เพราะในวันศุกร์ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้ประกาศยุบสภา คาดว่าจะเลือกตั้งใหม่อีกครั้งในช่วงต้นเดือน ก.พ. โดยที่ตลาดไม่ได้ตอบสนองเชิงลบใดๆต่อข่าวยุบสภาอาจเป็นเพราะท้ายที่สุดก็ต้องมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ คืนนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญต้องติดตามทั้งในประเทศและต่างประเทศ วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1240 – 1260 อาจเผชิญแรงขายจากหุ้น DELTA ตามการปรับฐานของหุ้นในกลุ่ม Technology แต่ก็เชื่อว่าจะได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่ม Value Play (สื่อสาร ธนาคารพาณิชย์) ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนเน้นเลือกหุ้นที่ไม่มีผลกระทบจากความไม่สงบชายแดนและผลกระทบจาก Tech ปรับลง อาทิ ธนาคาร (SCB) ค้าปลีก (CPALL HMPRO) ศูนย์การค้า (CPN) Non Bank (MTC SAWAD) ท่องเที่ยว (MINT CENTEL) โรงพยาบาล (BDMS)
BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท)
คาดกำไรสุทธิใน 4Q25 เติบโตทั้ง YoY และ QoQ จาก 1) จำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่ล่าช้ามีแนวโน้มเติบโตสูงต่อเนื่องในเดือน ต.ค. (+8% YoY) คาดหนุนรายได้ใน 4Q25 สูงขึ้น YoY จากฐานต่ำ 2) คาดรายได้รับรู้สูงขึ้นจากโรงพยาบาลเปิดใหม่ 2 แห่ง (รวม 87 เตียง) Phyathai Bowin Hospital และ Bangkok Hospital Khao Yai 3) แนวโน้มการเติบโตของสัดส่วนผู้ป่วยโรคซับซ้อน คาดหนุน EBITDA Margin แข็งแกร่งที่ 25% และ 4) สิทธิประโยชน์ทางภาษีคาดอยู่ที่ราว 20-30 ล้านบาท
MTC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 48.00 บาท)
คาดกำไรสุทธิปี 2025 เติบโตต่อเนื่อง 14% YoY หนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นล้อกับสินเชื่อที่ขยายตัว ขณะที่ Credit cost แนวโน้มผ่อนคลายลงจากการควบคุมคุณภาพสินเชื่อได้ตามเป้าหมาย คาด Credit cost ลดลงที่ 245/241 bps ในปี 2025-26
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon






























