
มิติหุ้น – นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการ รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและ
ขนาดย่อม เปิดเผยภาพรวมสถานการณ์ SME ประจำปี 2568 และให้ข้อมูลในเรื่องกลุ่มธุรกิจดาวรุ่งและกลุ่มธุรกิจที่ต้องเฝ้าระวัง ภายในงานสัมมนาวิชาการ “SME Symposium 2025” ภายใต้หัวข้อ “Smart Firm Smart Move ก้าวสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยี พลิกโฉม SME ไทย สู่โลกดิจิทัล” ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยในปีนี้มุ่งกระตุ้นให้ SME ได้มีการปรับใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลให้มากขึ้นเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
ภาพรวมของ SME ในปัจจุบัน SME ยังคงเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ในปี 2567 มีผู้ประกอบการ SME จำนวน3,255,957 ราย คิดเป็น 99.5% ของผู้ประกอบการทั้งหมด เพิ่มขึ้น 0.9% จากปีก่อน โดยธุรกิจรายย่อยเป็นธุรกิจที่มีจำนวนมากที่สุด คือมีสัดส่วนถึง 84% เพิ่มขึ้น 0.4% และเมื่อจำแนกตามสาขาธุรกิจแล้ว มี SME อยู่ในภาคการค้ามากที่สุด รองลงมาคือภาคบริการ และภาคการผลิต สำหรับการจ้างงานของ SME นั้นมีการจ้างงานสูงถึง 13.4 ล้านคน คิดเป็น 68.8% ของการจ้างงานรวมทั้งหมด โดยที่ภาคบริการมีการจ้างงานมากที่สุด คิดเป็น 44.8%
สสว. ยังเปิดเผย SME GDP ใน 3 ไตรมาสแรกของปี 2568 มีมูลค่า 4.8 ล้านล้านบาท คิดเป็น
34.8% ของ GDP ประเทศ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยภาคบริการมีส่วนสร้าง SME GDP ได้มากที่สุดอยู่ที่ 1.9 ล้านล้านบาท และ สสว. คาดการณ์ว่า SME GDP ปี 2568 จะขยายตัวได้ 2.5% และมีแนวโน้มจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.0 – 2.8% ในปี 2569 จากปัจจัยสนับสนุนด้านการส่งออก มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย รายได้จากภาคการท่องเที่ยว และเงินเฟ้อต่ำที่ยังช่วยประคองต้นทุนได้ ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้แก่ ปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับสูง สินค้าทะลักจากต่างประเทศ และภัยธรรมชาติ
สำหรับการค้าระหว่างประเทศของ SME ใน 10 เดือนแรกของปี 2568 พบว่า SME มีมูลค่าส่งออกอยู่ที่ 1,329,783 ล้านบาท คิดเป็น 14.3% ของมูลค่าส่งออกรวม สินค้าส่งออกสำคัญได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักร คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ โดยตลาดส่งออกอันดับ 1 ของ SME คือสหรัฐอเมริกา ที่มีสัดส่วน 20.1% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของ SME สำหรับการนำเข้า พบว่า SME มีมูลค่านำเข้าอยู่ที่ 1,645,492 ล้านบาท คิดเป็น 17.2% ของมูลค่าการนำเข้ารวม สินค้านำเข้าสำคัญได้แก่ เครื่องจักร คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ โดยแหล่งนำเข้าสินค้าที่สำคัญของ SME คือ จีน ที่มีสัดส่วนถึง 46.4% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมดของ SME
นอกจากนี้ สสว. ยังได้เปิดเผยข้อมูลกลุ่มธุรกิจดาวรุ่งและกลุ่มเฝ้าระวัง ประจำปี 2568 โดยวิเคราะห์จากการเติบโตของกำไรขั้นต้นเฉลี่ยและจัดกลุ่มจากลักษณะของกิจกรรมภายในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยกลุ่มธุรกิจดาวรุ่ง
(มีกำไรขั้นต้นเฉลี่ยเติบโตเกินกว่า 100%) ซึ่งเติบโตสูงจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ประกอบด้วย
- ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ เติบโตจากการขยายตัวของการค้าออนไลน์และการเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตที่มีการใช้บริการการขนส่งสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น (มูลค่า GDP SME รวม 160,877 ล้านบาท, อัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้นเฉลี่ย +500%)
- การออกแบบ ARTWORK รูปแบบการจัดวาง การออกแบบงาน สินค้า บริการ ก่อนการดำเนินการสื่อสาร หรือจัดทำจริงให้ตรงตามความต้องการ (มูลค่า GDP SME รวม 28,498 ล้านบาท, อัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้นเฉลี่ย + 430 %)
- อาหารจากสัตว์น้ำ: ธุรกิจภาคการผลิตหลักเพื่อบริโภคในประเทศและการส่งออก (มูลค่า GDP SME รวม 25,600 ล้านบาท, อัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้นเฉลี่ย + 721 %)
- เฟอร์นิเจอร์โลหะ การปรับเปลี่ยนไปใช้สินค้าเพื่อความคงทน คุ้มค่ามากขึ้น (มูลค่า GDP SME รวม 19,034 ล้านบาท, อัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้นเฉลี่ย + 110 %)
- วีดิโอเกมและซอฟต์แวร์ ก็เป็นกลุ่มดาวรุ่งเช่นกัน ซึ่งสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์ ความบันเทิงและการใช้งานอย่างยั่งยืน (มูลค่า GDP SME รวม 11,015 ล้านบาท, อัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้นเฉลี่ย + 191 %)
- เครื่องจักร อุปกรณ์ และเครื่องใช้ทางการเกษตร: รองรับการปรับตัวสู่เกษตรกรรมยุคใหม่จากสังคมสูงวัย (มูลค่า GDP SME รวม 3,018 ล้านบาท, อัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้นเฉลี่ย + 832 %)
- ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุ : จากการที่ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ (มูลค่า GDP SME รวม 901 ล้านบาท, อัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้นเฉลี่ย + 241 %)
ขณะที่กลุ่มธุรกิจเฝ้าระวัง (กำไรขั้นต้นหดตัวเฉลี่ยมากกว่า 50%) เป็นกลุ่มธุรกิจซึ่งเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันสูงและการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี พบว่า
- การขายเครื่องสำอางเผชิญกับการแข่งขันสูงทั้งจากผู้ค้าและผู้ผลิต ซึ่งผู้บริโภคสามารถซื้อผ่านออนไลน์จากผู้ผลิต/ผู้ค้าโดยตรงจากต่างประเทศได้มากขึ้น (มูลค่า GDP SME รวม 22,173 ล้านบาท, อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยหดตัว -50%)
- การขายรถยนต์มือสอง ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า และการปรับราคารถยนต์ใหม่ (มูลค่า GDP SME รวม 13,390 ล้านบาท, อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยหดตัว -97%)
- ผลิตภัณฑ์ยาง เผชิญกับการแข่งขันสูงโดยเฉพาะสินค้านำเข้า (มูลค่า GDP SME รวม 10,454 ล้านบาท, อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยหดตัว -76%)
- ที่พักอาศัยนักเรียน/นักศึกษา ได้รับผลกระทบจากรูปแบบการเรียนแบบ Hybrid และความต้องการที่พักที่ทันสมัยอิสระมากขึ้น (มูลค่า GDP SME รวม 1,014 ล้านบาท, อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ย
หดตัว -165%)
ท่ามกลางสภาวะการแข่งขันทั้งภายในและภายนอก ส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของ SME คงหนีไม่พ้นที่จะต้องปรับกลยุทธให้สามารถเพิ่มผลิตภาพการผลิตรวม (TFP) ให้สูงขึ้น ที่ผ่านมา TFP ของ SME มีทิศทางลดลงต่อเนื่อง โดยในปี 2567 TFP ติดลบที่ 0.27 สะท้อนว่า SME ไทย ใช้ทรัพยากรทั้งในส่วนของทุนและแรงงานเท่าเดิมหรือมากขึ้น แต่ได้ผลผลิตน้อยลง ซึ่งเป็นผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา คำสั่งซื้อหดตัว และอุปสรรคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี ในขณะที่ธุรกิจที่มีการลงุทนหรือเคยลงทุนด้านเทคโนโลยียังสามารถเพิ่ม TFP ให้ธุรกิจได้ ดังนั้นเทคโนโลยีและดิจิทัลจึงเป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับผลิตภาพการผลิตรวมของ SME โดยกลุ่มธุรกิจที่ยังรักษาค่า TFP เป็นบวกได้ คือกลุ่มที่ใช้ทักษะสูง และใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงและทันสมัย อาทิเช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์แร่อโลหะ ที่มี TFP +17.61% (ใช้เครื่องจักรประสิทธิภาพสูง) หรือกลุ่มที่มีการผลิตกระดาษ เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้ลงทุนด้านเทคโนโลยีสูงแต่ใช้ประสบการณ์ในการทำงานและยังสามารถทำให้ TFP สูง ได้แก่ กลุ่มศิลปะและความบันเทิง ที่มี TFP +6.83% (เน้นประสบการณ์และทักษะแรงงาน) จะเห็นได้ว่า โอกาสและการอยู่รอดของ SME ไม่ใช่แค่การหาเงินทุน แต่คือการรู้จักเลือกใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมเพื่อ “ยกระดับผลิตภาพการผลิต” ดังนั้นการนำเทคโนโลยี หรือดิจิทัลมาใช้ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด เพื่อพลิกฟื้นให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ภายในงาน ยังมีปาฐถาพิเศษในหัวข้อ “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน – โอกาส ความท้าทาย และทางรอดของ SME” โดยได้รับเกียรติจาก ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลังที่ได้เสนอแนวทางการพัฒนาและยกระดับผู้ประกอบการ SME ไทย ในระยะต่อไป พร้อมจัดพื้นที่เสวนาถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้ประกอบการที่ได้นำเทคโนโลมีมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ ภายใต้หัวข้อ “Smart Firm Smart Move ก้าวสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยีพลิกโฉม SME ไทยสู่โลกดิจิทัล” ได้แก่ ดร. ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ ผู้สร้างแบรนด์ยาดม NuaNose ที่เริ่นต้นธุรกิจด้วยการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค นายณัฐวุฒิ จันทร์เรือง นักธุรกิจเกษตรยุคใหม่แห่งจันทร์เรืองฟาร์ม (JR Farm) ที่ยกระดับคุณภาพผลผลิตด้วยเทคโนโลยีมาใช้ในสวนเพื่อลดการใช้แรงงานคน ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต นายรังสรรค์ พรมประสิทธิ์ CEO บริษัท คิวคิว (ประเทศไทย) ที่นำเทคโนโลยีมาใช้ในการสร้างระบบจัดการช่วยแก้ปัญหาการรอคิวให้กับคนไทย และนายสานสิน ศรีภิรมย์รักษ์ ผู้ก่อตั้ง DISTAR FRESH Farm ผู้ผลิตอาหารด้วยเทคโนโลยีการผลิตพืชรูปแบบใหม่ผ่านระบบปิดและควบคุมทุกอย่างด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย
สำหรับ สสว. ในฐานะหน่วยงานส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SME ก็พร้อมเป็นผู้ผลักดัน SME ให้เติบโตผ่านโครงการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นระบบ เช่น SME Academy365 เป็นโครงการพัฒนาทักษะดิจิทัลและองค์ความรู้ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ มีหลักสูตรตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงเชิงลึก เช่น การทำการตลาดเชิงรุกผ่านสื่อดิจิทัลและการบริหารธุรกิจด้วยเครื่องมือดิจิทัลสมัยใหม่ สำหรับ SME ที่ต้องการปรับเปลี่ยนธุรกิจ (Transform) โครงการนี้มีโค้ชหรือที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญคอยเป็น partner ตั้งแต่การทำตลาดออนไลน์ การสื่อสารผ่านแพลตฟอร์ม จนถึงการวางกลยุทธ์ และการพัฒนาระบบ Big Data สำหรับธุรกิจขนาดกลาง รวมถึงการให้ความช่วยเหลือในการลงทุนเทคโนโลยี ผ่านโครงการ BDS ที่มีบริการให้ความช่วยเหลืออุดหนุนงบประมาณในการพัฒนาธุรกิจแบบร่วมจ่าย (Co-payment) ในสัดส่วน 50 – 80% ผ่านระบบ “BDS” เพื่อจัดหาระบบต่าง ๆ เช่น ระบบบริหารจัดการหน้าร้าน, ระบบการออกใบกำกับภาษี, หรือระบบ ERP สำหรับบริหารจัดการคลัง นอกจากนี้ ยังมีสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เช่น การเพิ่มยอดขายด้วยโฆษณา Google Ads และ Facebook/IG ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงทุกบริการของ SME ได้ในที่เดียวผ่าน Application “SME Connext” เพียงสมัคร SME One ID
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon

































