SCB EIC ชี้แผนการคลังระยะปานกลางใหม่วางกรอบปฏิรูปการคลังเข้ม จะลดความเสี่ยงเครดิตเรตติงได้มากเพียงใด ขึ้นอยู่กับผลปฏิบัติจริง

9

มิติหุ้น – เสถียรภาพการคลังของไทยมีทิศทางแย่ลงรวดเร็วหลังวิกฤตโควิด จากเดิมที่เป็นจุดแข็งของประเทศกลายเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก Moody’s และ Fitch ได้ปรับแนวโน้มมุมมองประเทศเป็นลบ (Negative) และอาจนำไปสู่การลดอันดับความน่าเชื่อถือของไทยในอนาคต หากไม่เร่งปฏิรูปการคลังอย่างจริงจัง ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อต้นทุนการกู้ยืมในระบบการเงิน และอาจกระทบต่อความน่าลงทุนของเศรษฐกิจไทยได้

แผนการคลังระยะปานกลางฉบับใหม่ (ครม. อนุมัติ 18 พ.ย. 2025) สะท้อนความเข้าใจและความตั้งใจในการจัดการต่อสัญญาณเตือนนี้ โดยรัฐบาลพยายามออกแบบแผนปฏิรูปการคลังให้ชัดเจนขึ้น เพื่อปรับสมดุลการคลัง (Fiscal consolidation) ควบคุมไม่ให้หนี้สาธารณะเกินเพดาน 70% ของ GDP และมีแนวโน้มปรับลดลงได้ภายในปี 2030

ในแผนฯ นี้รัฐบาลระบุแนวทางปฏิรูปการคลังไว้อย่างโปร่งใสมากขึ้น เช่น 1) เพิ่มรายได้ ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บรายได้และขยายฐานภาษี 2) ลดรายจ่าย โดยหาแหล่งเงินอื่นสำหรับโครงการลงทุนภาครัฐ เช่น ลงทุนร่วมภาครัฐภาคเอกชน (Public-Private Partnership : PPP) และ 3) เพิ่มวินัยการคลัง โดยลดขนาดงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินฯ และเข้มงวดนโยบายกึ่งการคลัง

อย่างไรก็ดี SCB EIC มีความกังวลต่อการนำแผนฯ ไปปฏิบัติจริง หากพิจารณาบนสมมติฐานที่แตกต่าง คือ 1) แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อต่ำกว่าที่ใช้ในแผนฯ และ 2) การปฏิรูปการคลังตามแผนฯ ที่ตั้งเป้าลดขาดดุลงบประมาณเหลือ 2.1% ต่อ GDP ให้ได้ในปี 2030 นั้น มีความท้าทายสูงด้วยข้อจำกัดทางการเมืองและสังคม ความจำเป็นทางเศรษฐกิจ และหลักฐานเชิงประจักษ์ในอดีต ซึ่งทำให้ยังมีโอกาสสูงพอสมควรที่หนี้สาธารณะอาจมีแนวโน้มสูงขึ้นเกินเพดาน 70% ของ GDP ในช่วงข้างหน้า

ในทางปฏิบัติ SCB EIC มองว่าการที่รัฐบาลจะสามารถทยอยลดการขาดดุลงบประมาณจากปัจจุบันที่สูงกว่า 4% ให้เหลือ 2.1% ของ GDP ภายในระยะ 5 ปีเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก จึงอาจต้องเตรียมแผนขยับเพดานหนี้ 70% ชั่วคราวไว้ และสื่อสารรักษาคำมั่นจะควบคุมให้หนี้สาธารณะปรับลดลงต่ำกว่าเพดานนี้ให้ได้ภายในกรอบเวลาที่ชัดเจน

SCB EIC ประเมินว่าการที่ภาครัฐพยายามผลักดันแผนปฏิรูปการคลังจะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงเครดิตเรตติงและสร้างเสถียรภาพการคลังระยะยาว แต่จะเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินการให้แผนการคลังฯ เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์การเมืองที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยจากการถอดบทเรียนในต่างประเทศ SCB EIC มองว่า 3 ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้แผนปฏิรูปการคลังสำเร็จได้ คือ 1) มีความมุ่งมั่นทางการเมือง 2) วัดผลความคืบหน้าและสื่อสารโปร่งใส และ 3) ผลักดันการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ควบคู่กันไป

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon