วัคซีนสู้โควิดฯ เพื่อคนไทย วัดใจนายกฯ กับงบที่ซุกไว้ 6 แสนล.

611

วัคซีนสู้โควิดฯ เพื่อคนไทย วัดใจนายกฯ กับงบที่ซุกไว้ 6 แสนล.

ยังไม่สาย? หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายก จะตัดทิ้งบางงบ? ที่ซุกไว้ในงบกลาง 6 แสนล้านบาท แล้วเพิ่มงบต่อสู้โควิด-19 ขยับจาก 4 หมื่นล้านบาท เป็น 5 แสนล้านบาท เชื่อขนมกินได้! วัคซีนต่อสู้โควิดฯ ถึงคนไทยเร็วกว่าที่คาดอย่างแน่นอน

 

ท่ามกลางการแสการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 ที่รัฐบาลของหลายประเทศทั่วโลก กำลังง่วนอยู่กับการผลิตวัคซีนต่อต้านเชื้อไวรัสตัวนี้ กระทั่ง มีการนำไปฉีดจริง! ให้คนประชาชนของตัวเอง เริ่ม…รัสเซีย สหรัฐฯ อังกฤษ ยุโรป และหลายประเทศในเอเชีย

 

ประเทศที่มีอัตราการแพร่ระบาด ติดเชื้อ และการเสียชีวิตของผู้คนเป็นจำนวนมาก อย่าง…สหรัฐฯ นั้น ล่าสุด เมื่อไม่กี่วันมานี้ นายโรเบิร์ต เรดฟีลด์ ผอ.ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ระบุว่า ทางการสหรัฐฯ ได้ทำการฉีดวัคซีนให้ชาวอเมริกันไปแล้วถึง 1 ล้านโดส นับตั้งแต่มีการขับเคลื่อนการฉีดวัคซีนครั้งประวัติศาสตร์ทั่วสหรัฐฯ ตั้งแต่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา

 

ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้ความพยายามอย่างยิ่งต่อการบูรณาการกับบริษัทเอกชน ทำการผลิตวัคซีนฯขึ้นมาก โดยขณะนี้ แม้จะมีซัพพลายวัคซีนโควิด-19 ได้อย่างจำกัด แต่ทว่า ในอีกสัปดาห์และหลายเดือนข้างหน้า พลเมืองสหรัฐฯ จะมีและได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นทั่วประเทศอย่างแน่นอน

โดยสัปดาห์ที่แล้ว มีการกระจายวัคซีนของไฟเซอร์ – ไบโอเอ็นเทค ไปแล้วราว 3 ล้านโดส และเป้าหมายของรัฐบาลในสัปดาห์นี้ มีอีก 2 ล้านโดส จากไฟเซอร์ และ 6 ล้านโดสจากโมเดอร์นา

นายพลกุสตาเว เปอร์นา แห่งกองทัพสหรัฐฯ ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ และพันธมิตรจะกระจายวัคซีน 4.67 ล้านโดส ของไฟเซอร์และโมเดอร์นาในสัปดาห์หน้า ทำให้สามารถกระจายวัคซีนได้ประมาณ 20 ล้านโดสในปีนี้ ซึ่งบางส่วนของวัคซีน 20 ล้านโดส อาจมีการกระจายล่าช้าไปจนถึงสัปดาห์แรกของเดือนมกราคมปีหน้า

 

ด้าน นายมอนเซฟ สลาวี หัวหน้าที่ปรึกษาโครงการ Operation Warp Speed ของรัฐบาล ย้ำว่า อาจทำไม่ได้ตามเป้าที่วางไว้ว่าจะฉีดวัคซีนให้ประชาชน 20 ล้านคนในเดือนนี้ พร้อมกับเสริมว่า ความล่าช้ามาจากช่วงเริ่มต้นในการกระจายวัคซีนและการบริหารจัดการ

อย่างไรก็ตาม เขายังคงเชื่อมั่นว่า จะสามารถฉีดวัคซีนให้ชาวอเมริกัน 100 ล้านคนได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2564 และอีก 100 ล้านคนในไตรมาส 2

 

ขณะที่ รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา ว่า ได้จัดซื้อวัคซีนต้านโควิด-19 เพิ่มเติมอีก 100 ล้านโดส จากบริษัทไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค และมีกำหนดจัดส่งวัคซีนในเดือนกรกฎาคมปีหน้า ซึ่งนั่น…จะทำให้สหรัฐฯ มีวัคซีนอยู่ในมือมากถึง 400 ล้านโดส โดยครึ่งหนึ่งจากไฟเซอร์และอีกครึ่งจากโมเดอร์นาสามารถรองรับการสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนได้ถึง 200 ล้านคน

หันมาดูรัฐบาลไทยกันบ้าง หลังออกอาการเฟอะฟะ! ในช่วงแรกที่ปล่อยให้นักท่องเที่ยวชาวจีนเข้าประเทศ จนเป็น “ต้นตอ” การแพร่ระบาดไวรัสโควิดฯ ในประเทศไทย เมื่อช่วงต้นปี 2563 แต่เพราะพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วนในประเทศ ทำให้สามารถ “สยบไวรัสโควิดฯ” จนได้รับการยกย่องและเป็นแบบอย่างให้กับรัฐบาลของหลายประเทศทั่วโลก

แต่ด้วยอาการเหลิง! และชะล่าใจ…ของรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จึงเปิดช่องให้มีการ “นำเข้าเชื้อโควิดฯ” จากประเทศเพื่อนบ้านฯ

แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะแสดงอาการ “ควันออกหู” และย้ำว่า…จะต้องหากลุ่มคนที่ปล่อยให้มีการลักลอบนำเข้าแรงงานผิดกฎหมายเข้ามาให้ ไม่ว่าจะเป็น…ด่านชายแดนปกติ หรือด่านธรรมชาติ

แต่นั่น…ก็มิอาจทำให้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดฯ ลดลง ในทางกลับกัน…การแพร่กระจายยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเกิดขึ้น ทั้งในพื้นที่เก่าที่เป็น “จุดเริ่มต้น” และพื้นที่ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา

สร้างความ “อกสั่นขวัญแขวน” ต่อคนไทยเป็นอย่างมาก

แม้รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จะทำสัญญา “จองซื้อ-วัคซีนต่อต้านโควิดฯ” แต่กว่าจะได้มาและนำไปฉีดได้ในล็อตแรก ก็ปาเข้าในช่วงท้ายๆ ของไตรมาสปี 2564 ซึ่งถึงตอนนั้น…จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทย จะขยายตัวไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้?

กับเสียงที่ออกมาจากทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอร้องให้คนไทย “ร่วมด้วยช่วยกัน-บริจาคเงิน” เพื่อจัดซื้อวัคซีนต่อต้านโควิดฯ สิ่งนี้…ได้กลายเป็นเสียงสะท้อนความล้มเหลวของทางการไทยไปแล้ว

แม้รัฐบาลจะบอกเองว่า…ได้จัดเตรียมงบประมาณ “รายการใหม่” คือ “ค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19” วงเงิน 40,325.6 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงบประมาณ ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี หรือพูดให้ชัดก็คือ…

อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี และซุกอยู่ในงบกลาง ที่จัดสรรไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 มากถึง 6.14 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 18.6% ของวงเงินงบประมาณ 3.3 ล้านล้านบาท และสูงกว่างบประมาณปีก่อนที่ตั้งไว้ 5.18 แสนล้านบาท

เฉพาะงบกลางที่ตั้งไว้ 614,616.2 ล้านบาทนั้น ก็มากกว่างบประมาณฯทั้งปีของ 2-3 กระทรวงเล็กๆ รวมกันแล้ว

ประเด็นคือ รัฐบาลตั้งงบกลางเอาไว้มากมาย แต่เหตุใด…กลับตั้งงบไว้ใช้จ่ายฯ ในการรับมือไวรัสโควิดฯ เพียง 4 หมื่นล้านบาทเศษ หรือแค่ 6.51% ของงบกลาง และหากนำไปเทียบกับงบประมาณฯปี 2564 จะเหลือเพียง 1.21% เท่านั้น

ทั้งที่ผลกระทบจากไวรัสโควิดฯ ต่อทุกสรรพสิ่งในประเทศไทย…ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพอนามัยของคนไทย ระบบเศรษฐกิจ ธุรกิจ อุตสาหกรรม การค้า การท่องเที่ยว รวมถึงสุขภาพจิตของคนไทยเกือบ 70 ล้านคน…มีมากมายมหาศาล

หากรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ มองผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน มากกว่าการจะรักษา “สถานภาพ” ในทางการเมืองของตัวเอง ล่ะก็…

สัดส่วนการใช้จ่ายเพื่อรับมือกับไวรัสโควิดฯ จะต้องมีมากกว่า 4 หมื่นล้านบาทเศษ และสิ่งที่รัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ สามารถดำเนินการได้เลย ก็คือ…

ตัดงบประมาณในส่วนที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะกับภารกิจบนฟากฟ้าออกไป แล้วเพิ่มงบฯ ในการต่อสู้กับไวรัสโควิดฯ ให้ได้ถึง 5 แสนล้านบาท หรือมากกว่าเดิมอีก 12 เท่าตัว

แค่นี้…เฉพาะกับปีนี้ คนไทยก็จะมีวัคซีนฉีดได้ครบทั้ง 70 ล้านคน โดยไม่ต้องเอ่ยปากขอรับบริจาคแต่อย่างใด

เงินง้างได้ทุกสรรพสิ่ง แม้กระทั่ง “จ้างผีโม่แป้งได้” ฉะนั้น อย่าได้อ้าง ทำนอง…มีเงินก็ยังไม่ได้วัคซีน เพราะต้องรอคิว

ก็ในโลกความเป็นจริงนั้น “มีเงินมากอง มีทองมาวางตรงหน้า” รับรองได้ว่า…วัคซีนต่อต้านไวรัสโควิดฯ มีถึงประเทศไทยและถึงคนไทยได้เร็วกว่าที่กำหนดอย่างแน่นอน!!!

ที่มา: http://www.natethip.com/news.php?id=3479

โดยเนตรทิพย์กระพริบข่าวร้อน

www.mitihoon.com