MINT รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2564 และทริสคงอันดับเครดิตที่ระดับ “A”

201

มิติหุ้น – บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”) รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาสแรกของปี 2564 โดยมีผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 5.2 พันล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2564 เมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 3.2 พันล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2563 โดยหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงทวีปยุโรปและประเทศไทย ยังคงเผชิญกับความท้าทายและการปิดประเทศท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ระลอกใหม่ ในขณะที่ใน
ไตรมาส 1 ปี 2563 การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานของ MINT ตั้งแต่เดือนมีนาคม จากมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดต่างๆ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มระยะกลางถึงระยะยาวของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง จากอัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งจะนำไปสู่การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยขณะนี้ MINT ยังคงให้ความสำคัญในการเพิ่มสภาพคล่องและการบริหารจัดการฐานะทางการเงินเพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทายที่ยืดเยื้อนี้ ทั้งนี้ MINT รายงานผลขาดทุนสุทธิตามงบการเงินจำนวน 7.3 พันล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2564 เมื่อเทียบกับผลขาดทุนจำนวน 1.8 พันล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2563 โดยในไตรมาส 1 ปี 2564 MINT มีการบันทึกการด้อยค่าของสินทรัพย์เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 จำนวน 2.3 พันล้านบาท ตามมาตรฐานการบัญชีไทย GAAP

นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวว่า “แม้ว่าสถานการณ์ทั่วโลกจะยังคงมีความผันผวน แต่เราเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคทั่วโลก ในส่วนของ MINT ก็มีธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่ถึงแม้ว่าจะมีการระบาดของโรค COVID-19 ระลอกที่สองในประเทศไทยตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 แต่ไมเนอร์ ฟู้ดสามารถสร้างผลกำไรติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สาม เนื่องมาจากการดำเนินมาตรการการควบคุมค่าใช้จ่ายและการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของการบริโภคภายในประเทศจีน อีกทั้ง ผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงแรมในประเทศออสเตรเลียและมัลดีฟส์ของไมเนอร์ โฮเทลส์ยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) เริ่มกลับมาสู่ระดับที่ใกล้เคียงกับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 นอกจากนี้ ธุรกิจการขายโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาสนี้”

ไมเนอร์ ฟู้ดมีกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 160 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2564 พลิกฟื้นจากไตรมาส 1 ปี 2563 ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 97 ล้านบาท โดยกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนและออสเตรเลียยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเติบโตของยอดขายต่อร้านเดิมที่กลับมาเป็นบวกในไตรมาส จากการผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางในสองประเทศดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยได้รับผลกระทบเชิงลบจากการระบาดของโรค COVID-19 ระลอกที่สอง ซึ่งเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 ทั้งนี้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ไมเนอร์ ฟู้ดยังคงดำเนินมาตรการการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวดในทุกกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร ส่งผลให้ทั้งสามกลุ่มธุรกิจร้านอาหารหลักของบริษัทสามารถสร้างผลกำไรได้

ไมเนอร์ โฮเทลส์ยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปยุโรปและประเทศไทย จากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ระลอกใหม่ อย่างไรก็ตาม กลุ่มโรงแรมในประเทศมัลดีฟส์และออสเตรเลียยังคงมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2563 โดยรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนในไตรมาส 1 ปี 2564 เข้าใกล้ระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 อีกทั้ง รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้ธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อมกับธุรกิจโรงแรมสามารถสร้างผลกำไรสุทธิติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สอง และยังช่วยเสริมสร้างผลการดำเนินงานโดยรวมของไมเนอร์ โฮเทลส์ อย่างไรก็ตาม ด้วยรายได้ที่ลดลง แม้ว่าจะมีการดำเนินมาตรการการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด ส่งผลให้ไมเนอร์ โฮเทลส์มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 5.3 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 3.0 พันล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2563 ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของไมเนอร์ โฮเทลส์ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่จากกลุ่มโรงแรมในทวีปยุโรป ซึ่งมีโครงสร้างอัตราการทำกำไรที่ต่ำกว่าและต้นทุนค่าเช่าคงที่ที่สูง

MINT ยังคงมุ่งมั่นในการรักษาสภาพคล่อง ซึ่งรวมถึงมาตรการการลดค่าใช้จ่ายและการลงทุนเพื่อลดกระแสเงินสดจ่าย โดยในไตรมาส 1 ปี 2564 MINT มีกระแสเงินสดจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท ในขณะที่ MINT มีเงินสดในมือจำนวน 2.1 หมื่นล้านบาท และวงเงินสินเชื่อจำนวน 2.1 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564 ซึ่งคาดว่าเพียงพอสำหรับการดำเนินงานต่อไปได้อีกนานกว่าสองปีหากสถานการณ์ปัจจุบันยืดเยื้อไปนานกว่าที่คาด อย่างไรก็ตาม MINT คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีสถานะเงินสดที่แข็งแกร่งขึ้นต่อไป

MINT ยังคงมุ่งบริหารจัดการฐานะทางการเงินเชิงรุกและเชิงกลยุทธ์ โดยการหมุนเวียนสินทรัพย์ยังคงอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนที่วางไว้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จตามกำหนดเวลา นอกจากนี้ การออกใบสำคัญแสดงสิทธิเพิ่มเติมได้ผ่านการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของ MINT โดยเงินที่จะได้รับจากการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานะทางการเงินอีกจำนวน 1 หมื่นล้านบาท ในช่วง 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ MINT มีแผนที่จะออกหุ้นกู้จำนวนไม่เกิน 6 พันล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการหนี้สินและสภาพคล่อง อีกทั้ง เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัท ทริส เรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่ระดับ “A” และอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน (Hybrid Debentures, MINT18PA) ที่ระดับ “BBB+” ในขณะเดียวกัน ทริสได้จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ ซึ่งออกโดย MINT มูลค่าไม่เกิน 6 พันล้านบาทที่ระดับ “A” อีกทั้งได้คงแนวโน้มเชิงลบ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรค COVID-19

นอกจากนี้ เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปได้ดำเนินการเสริมสร้างฐานะทางการเงินเช่นกัน โดยเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปประสบความสำเร็จในการขอยืดระยะเวลายกเว้นการทดสอบการดำรงอัตราส่วนทางการเงิน อีกทั้ง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของโครงสร้างหนี้สิน เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปได้ขยายระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้ร่วมที่มี ICO (Instituto de Crédito Oficial, ธนาคารรัฐของประเทศสเปน) ค้ำประกัน จำนวน 250 ล้านยูโรจากปี 2566 เป็นปี 2569 และเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ยังอยู่ระหว่างการทบทวนทางเลือกต่างๆสำหรับเงินกู้อื่นที่จะครบกำหนดการชำระคืนในปี 2566 นอกจากนี้ เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปได้ประกาศแผนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 107 ล้านยูโร ซึ่งจะช่วยเพิ่มทั้งฐานส่วนของผู้ถือหุ้นและสภาพคล่องของบริษัท โดยแผนการดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 ในระหว่างนี้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่มีต่อเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป MINT จะดำเนินการให้เงินกู้ผู้ถือหุ้นกับเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปเป็นจำนวน 100 ล้านยูโร ในไตรมาส 2 ปี 2564 เพื่อที่จะนำไปใช้ในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนต่อไป

MINT คาดว่าความท้าทายจากการระบาดของโรค COVID-19 นี้จะยังคงอยู่ในครึ่งแรกของปี 2564 จนกว่าจะมีการกระจายวัคซีนในวงกว้าง โดยคาดว่าประชากรยุโรปร้อยละ 70 จะได้รับการฉีดวัคซีนภายในเดือนกันยายน 2564 ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้มีการเปิดพรมแดนระหว่างประเทศ และผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมหรือต้นเดือนมิถุนายน และเนื่องจากธุรกิจในทวีปยุโรป ผ่านการบริหารโดยเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป เป็นสัดส่วนหลักของธุรกิจโรงแรม ไมเนอร์ โฮเทลส์จึงจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวดังกล่าว ส่วนไมเนอร์ ฟู้ดจะยังคงมุ่งยกระดับบริการจัดส่งอาหาร ผลิตภัณฑ์ใหม่ โปรแกรมความภักดี และการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ในทุกกลุ่มธุรกิจร้านอาหารเพื่อเพิ่มยอดขาย

นายดิลลิป ราชากาเรีย กล่าวเพิ่มเติมว่า “บริษัทจะยังคงระมัดระวังในการบริหารจัดการกระแสเงินสดและสภาพคล่องผ่านมาตรการการลดค่าใช้จ่ายและการลงทุน ต่อไป นอกจากนี้ บริษัทจะบริหารจัดการฐานะทางการเงินเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง โดยมองหาวิธีเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินของบริษัท ในขณะเดียวกัน บริษัทยังคงเตรียมความพร้อมสำหรับการกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในสภาวะวิถีชิวิตใหม่ (New Normal) โดยบริษัทให้ความสำคัญกับสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานและลูกค้าในทุกธุรกิจของเรา และจะดำเนินการเพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานของเราได้รับการฉีดวัคซีนอย่างครบถ้วนโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ บริษัทหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้กลับมาให้บริการลูกค้าและทำให้ธุรกิจของเราเติบโตขึ้นอีกครั้งเมื่อสภาวะการดำเนินธุรกิจเริ่มแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต”

ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท: บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) เป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจระดับสากล โดยประกอบ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ MINT ดำเนินธุรกิจโรงแรมทั้งในรูปแบบเป็นเจ้าของเอง บริหารจัดการ และร่วมลงทุน โดยมีโรงแรมและเซอร์วิส สวีท มากกว่า 520 แห่ง ภายใต้แบรนด์ อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์, ทิโวลี, เอ็นเอช คอลเลคชั่น, เอ็นเอช โฮเทลส์, นาว, เอเลวาน่า, แมริออท, โฟร์ซีซั่นส์, เซ็นต์ รีจิส, เรดิสัน บลู และโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ใน 55 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา คาบสมุทรอินเดีย ยุโรป อเมริกาใต้ และอเมริกาเหนือ นอกจากนี้ MINT เป็นผู้นำในธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยมีร้านอาหารกว่า 2,300 สาขา ใน 26 ประเทศ ภายใต้   แบรนด์ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, เดอะ คอฟฟี่ คลับ, ริเวอร์ไซด์, เบนิฮานา, ไทย เอ็กซ์เพรส, บอนชอน, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เลอร์, แดรี่ ควีน และเบอร์เกอร์ คิง อีกทั้งยังเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์และรับจ้างผลิต ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ อเนลโล่, โบเดิ้ม, บอสสินี่, ชาร์ล แอนด์ คีธ, เอสปรี, โจเซฟ โจเซฟ, แรทลีย์, สโกมาดิ, สวิลลิ่ง เจ. เอ. เฮ็งเคิลส์ และไมเนอร์ สมาร์ท คิดส์ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ www.minor.com

www.mitihoon.com