TOP วิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน

111

ราคาน้ำมันดิบปรับลด หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25%

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับราคา

ราคาน้ำมันดิบปรับลด 1% หลังพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนในช่วงที่ผ่านมา โดยราคาน้ำมันดิบได้รับแรงกดดัน หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% มาอยู่ในช่วง 5.25% – 5.5% จากการประชุม FED เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 66 ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงสุดในรอบ 22 ปี โดย FED ยังกล่าวอีกว่า อาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งภายในสิ้นปีนี้ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลให้ตลาดกังวลอุปสงค์น้ำมันดิบได้รับแรงกดดัน

สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) เผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 21 ก.ค. 66 ปรับตัวลดลง 0.6 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 456.8 ล้านบาร์เรล ลดลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ คาดการณ์ไว้ ว่าจะปรับลดลง 2.35 ล้านบาร์เรล

+/- ตลาดยังตึงตัว หลังมีการคาดการณ์ว่า ซาอุดิอาระเบียจะขยายระยะเวลาการลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบไปอีก 1 เดือน จากเดิมที่จะยุติที่เดือน ส.ค. นี้ ไปเป็นเดือน ก.ย. แทน อย่างไรก็ตาม รัสเซียมีแนวโน้มปรับเพิ่มการส่งออกในเดือน ก.ย. หลังอัตราการกลั่นของโรงกลั่นน้ำมันในประเทศคาดว่าจะปรับลดลงจากเดือน ส.ค. 0.195 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในช่วงปิดซ่อมบำรุง

ราคาน้ำมันเบนซิน : ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวลดลงสวนทางกับราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังอุปทานน้ำมันเบนซินจากจีนและกาตาร์ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดยังได้รับแรงหนุนจาก อุปสงค์น้ำมันเบนซินของอินโดนีเซีย ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

ราคาน้ำมันดีเซล : ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังอุปสงค์น้ำมันดีเซลของเวียดนามปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับอุปทานน้ำมันดีเซลจากเกาหลีใต้ ที่มีแนวโน้มลดลง ก่อนเข้าสู่ช่วงปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น ในช่วงกลางเดือน ส.ค. นี้

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon