
แต่กว่าที่ “หงส์ไทย” จะมายืน ณ จุดนี้ได้ ต้องเผชิญกับวิกฤติและบททดสอบมากมายมาตลอดระยะเวลา 18 ปีที่ผ่านมา จุดเปลี่ยนสำคัญของหงส์ไทยที่นำมาสู่ความแข็งแกร่งในปัจจุบัน จะเป็นอะไรนั้น พี่เก่ง-ธีระพงศ์ ระบือธรรม ผู้ก่อตั้งและเจ้าของ บริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด ได้เล่าย้อนความให้ฟังว่า ตลอดระยะเวลา 18 ปีที่ผ่านมา หงส์ไทยประสบวิกฤติหนักๆ อยู่ 3 วิกฤติ
วิกฤติด้านการบริหารคน : เราเข้าใจเขา เขาเข้าใจเรา
ในช่วง 8 ปีแรกของการทำธุรกิจ องค์กรต้องเผชิญกับปัญหาพนักงานออกแบบรายวัน เนื่องจากคนในองค์กรมีการปลุกปั่นพนักงาน สร้างความเข้าใจผิดในตัวผู้บริหาร ตัวองค์กร สิ่งที่เขาพยายามทำ คือ ยึดหลักไม่เอาชนะความคิดที่ผิดด้วยการตอบโต้แบบไร้เหตุผล แต่เอาความจริงชนะความคิดที่ผิด โดยใช้หลักเหตุและผลในการบริหารและพูดคุยกับพนักงาน ปรับทัศนคติ คิดแบบเชิงบวก ใช้เวลาในการพิสูจน์ แก้ปัญหาตามความเป็นจริง พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์การบริหารคน แบบ “เราเข้าใจเขา เขาเข้าใจเรา” ด้วยการสร้างความเข้าใจในตัวพนักงาน ให้เขาเกิดความรู้สึกว่าองค์กรเข้าใจเขา เมื่อองค์กรเข้าใจพนักงาน สิ่งที่ได้กลับสู่องค์กรก็คือ พนักงานเข้าใจในตัวองค์กรและพร้อมจะก้าวไปข้างหน้ากับองค์กรในทุกๆ ย่างก้าว
จากการดำเนินกลยุทธ์ “เราเข้าใจเขา เขาเข้าใจเรา” ทำให้ในวันนี้ บริษัทไม่มีปัญหาเรื่องบุคลากรไหลออกหรือเข้าใจผิดในตัวองค์กรอีกเลย ส่งผลให้หงส์ไทยมีพนักงานเก่าที่อยู่กับหงส์ไทยมากกว่า 10 ปีถึงกว่า 200 คน จากพนักงานทั้งหมดที่มีในปัจจุบันราว 500 คน
วิกฤติต้นทุนพุ่ง : เน้นบริหารด้วยเงินสด รู้ความสามารถตัวเอง
ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 บริษัทประสบปัญหาราคาต้นทุนวัตถุดิบพุ่งสูงนานกว่า 30 เดือน จากปกติราคา 1,300 บาทต่อกิโลกรัมเป็น 2,000 บาทต่อกิโลกรัม แต่ยังต้องทำต่อไป เพราะบริษัทยังมีพนักงานที่ต้องดูแลรับผิดชอบ คิดเพียงแค่ว่าวันนี้ยอมขาดทุน อนาคตเดี๋ยวก็ได้กำไร ต้องยอมนำทรัพย์สินที่มีอยู่ไปหมุนเป็นเงินสด เพื่อนำมาดำเนินธุรกิจ พอเริ่มที่จะปรับตัวได้ก็ต้องเผชิญวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด 19
“ช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 ยอดขายหายกว่า 85% บริษัทใช้กลยุทธ์ทำงาน 15 วัน หยุด 15 วัน ทำแบบนี้อยู่ 2 เดือน โดยมีนโยบายไม่มีการปลดพนักงานเลย ในช่วง 2 เดือนแรกจ่ายค่าจ้าง 50% เดือนที่ 3-4 จ่าย 80% เดือนที่ 5 กลับมาจ่าย 100% และมีการชดเชยแบบให้เปล่านาน 2 เดือน ในเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2563 จากนั้นก็เข้าสู่ภาวะปกติ”
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เห็นว่า การบริหารจัดการแบบมีเงินทุนหมุนเวียนเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติที่จำเป็นต้องมีเงินสดสำรองให้มากพอ กระทั่งในวันนี้ หงส์ไทย ก็ยังคงบริหารจัดการแบบเงินสดหมุนเวียน ไม่มีการยื่นขอสินเชื่อ ส่วนหนึ่งจะทำให้องค์กรรู้ความสามารถของตัวเอง สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองได้ และพยายามที่จะพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นเพื่อสร้างการเติบโต
วิกฤติพนักงานขายไร้มาตรฐาน : ตั้งมาตรฐานใหม่ สร้างความแตกต่าง
พนักงานขายถือเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการสร้างการเติบโตให้กับบริษัท แต่ในอดีตบริษัทประสบปัญหาเรื่องความเข้าใจไม่ตรงกันของพนักงาน ที่เกิดจากแนวคิดและวิธีการทำการตลาดที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้วิธีเปรียบเทียบสินค้ากับสินค้าของบริษัทอื่นในตลาด กล่าวอ้างว่าสินค้าของบริษัทดีกว่าอย่างไร ซึ่งในความเป็นจริงพนักงานขายของบริษัทจะต้องทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าเพราะตัวสินค้าของบริษัทดีจริงๆ ไม่ใช่เพราะการเปรียบเทียบกับใคร หรือมุ่งทำแต่ยอดขายเพียงอย่างเดียว เพื่อหวังค่าคอมมิชชั่น โดยไม่สนใจการบริการหลังการขาย มีการเลือกลูกค้า ลูกค้าเจ้าไหนสั่งน้อยก็ไม่อยากส่งให้ ทำให้ในช่วงแรกๆบริษัทไม่สามารถสร้างยอดขายหรือขยายตลาดได้อย่างที่ควรจะเป็น เนื่องจากเป็นแบรนด์ใหม่ในตลาดที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก
บริษัทจึงสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับพนักงานขาย โดยพนักงานของบริษัทจะไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่น เพื่อป้องกันไม่ให้พนักงานมุ่งหวังแต่จะสร้างยอดขายเพียงอย่างเดียว จนลืมจรรยาบรรณในการค้าขาย บริษัทไม่จำเป็นต้องเหยียบผู้ค้าคนอื่นเพื่อความสำเร็จ เพราะวิธีนี้ไม่ใช่วิธีที่จะทำให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืน บริษัทมาทำการค้าไม่ใช่มาหาศัตรูคู่ค้า วันนี้ขายไม่ได้ไม่ใช่ว่าจะขายไม่ได้ตลอดไป หรือลูกค้ารายไหนอยากทดลองนำสินค้ามาขายก่อนในจำนวนเพียงไม่กี่ชิ้น ทางบริษัทก็ยินดีที่จะส่งให้ เพราะบริษัทต้องการมอบสิ่งที่ดีให้กับคู่ค้าและลูกค้าทุกคน บนมาตรฐานเดียวกัน เพื่อนำมาสู่ความเชื่อใจในตัวสินค้าและองค์กรในอนาคต
ตั้งเป้ายอดขายปี’67 ที่ 500 ล้าน พร้อมสร้างปรากฎการณ์ใหม่วงการยาใช้ภายนอก
ตั้งแต่ได้รับโอกาสจาก เซเว่น อีเลฟเว่น ให้เข้ามาวางจำหน่ายสินค้าในร้าน ส่งผลให้ยอดขายและชื่อของ “หงส์ไทย” เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภค และกลุ่มคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น ในโอกาสที่บริษัทเข้าสู่ปีที่ 18 ในปีนี้ ทางบริษัทจึงได้จัดตั้งโรงงานแห่งใหม่บนพื้นที่ 1 ไร่ โดยใช้งบลงทุนประมาณ 60 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก 2-3 เท่าตัว จากปัจจุบันมียอดผลิตอยู่ที่ประมาณ 50,000 ขวดต่อวัน พร้อมตั้งเป้ายอดขายปี 2567 ไว้ที่ 500 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทยังตั้งเป้าว่าในปี 2570 จะเป็นบริษัทที่มีบริการหลังการขายที่ดีที่สุดของวงการยาใช้ภายนอกของไทย เช่น การสร้างมาตรฐานพนักงานขายเดียวกันทั้งหมด ป้องกันการใช้กลยุทธ์การขายเรื่อง ลด แลก แจก แถม เพื่อให้เกิดมาตรฐานด้านการบริการ พนักงานขายทุกคนสามารถขายได้ทั่วประเทศ สินค้าที่ขายไม่หมดหรือขายไม่ได้บริษัทเปลี่ยนให้ เป็นต้น
ยาดมสมุนไพรไทยกระปุกเขียวแบรนด์ “หงส์ไทย” ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ตัวอย่าง ที่แสดงให้เห็นถึง เสน่ห์ความเป็นไทย ที่ไม่ได้ฉายภาพออกมาแค่เพียงตัวผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยในเรื่องของมุมมองการทำงานออกมาได้อย่างครบถ้วน สมกับการได้รับการยอมรับให้เป็นอีกหนึ่งพลัง Soft Power ไทย
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon