
มิติหุ้น – SCG ยิ้มรับความคืบหน้าโครงการ LSPE ในเวียดนาม คว้าตัว “Enterprise” เพื่อทำหน้าที่จัดหาก๊าซอีเทน 1 ล้านตันต่อปี เป็นระยะเวลา 15 ปี พร้อมเช่าเหมาลำเรือของ “MOL” ทำหน้าที่ขนส่งก๊าซจากสหรัฐฯ ไปยังเวียดนามสำเร็จ มั่นใจโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จปี 70 เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน รับตลาดปิโตรเคมีในภูมิภาคฟื้นตัว ตอบโจทย์ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
 SCG เผยว่า โครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน Long Son Petrochemicals ในเวียดนาม หรือ LSPE ซึ่งเป็นโครงการของบริษัทย่อยในกลุ่มบริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC มีความคืบหน้า
SCG เผยว่า โครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน Long Son Petrochemicals ในเวียดนาม หรือ LSPE ซึ่งเป็นโครงการของบริษัทย่อยในกลุ่มบริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC มีความคืบหน้า
โดยล่าสุดสามารถจัดหาและล็อกวัตถุดิบก๊าซอีเทนได้แล้ว โดย SCGC ได้ลงนามในสัญญาระยะยาวกับ Enterprise Products Partners L.P. (Enterprise) ซึ่งเป็นผู้จัดหาก๊าซอีเทนชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ให้ทำหน้าที่จัดหาวัตถุดิบก๊าซอีเทนสำหรับโครงการ LSPE ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี ตลอดระยะเวลาสัญญา 15 ปี
เดินหน้าเต็มสูบ
 นอกจากนี้ SCGC ยังได้ลงนามสัญญาระยะยาวเช่าเหมาเรือ กับ Mitsui O.S.K. Lines, Ltd. (MOL) ผู้ให้บริการเรือขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวชั้นนำของโลก เพื่อขนส่งก๊าซอีเทนจากสหรัฐอเมริกาไปยังเวียดนามเป็นระยะเวลา 15 ปี รองรับโครงการดังกล่าว เบื้องต้นจะให้บริการรอบแรกจำนวน 3 ลำ ส่วนที่เหลือ อยู่ระหว่างดำเนินการ
นอกจากนี้ SCGC ยังได้ลงนามสัญญาระยะยาวเช่าเหมาเรือ กับ Mitsui O.S.K. Lines, Ltd. (MOL) ผู้ให้บริการเรือขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวชั้นนำของโลก เพื่อขนส่งก๊าซอีเทนจากสหรัฐอเมริกาไปยังเวียดนามเป็นระยะเวลา 15 ปี รองรับโครงการดังกล่าว เบื้องต้นจะให้บริการรอบแรกจำนวน 3 ลำ ส่วนที่เหลือ อยู่ระหว่างดำเนินการ

ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างสร้างถังเก็บวัตถุดิบก๊าซอีเทน ซึ่งออกแบบพิเศษให้สามารถเก็บวัตถุดิบอีเทนที่สภาวะอุณหภูมิต่ำประมาณ -90 องศาเซลเซียสได้อย่างปลอดภัย รวมทั้งเตรียมความพร้อมด้านสาธารณูปโภคการรับวัตถุดิบด้วย
เพิ่มขีดความสามารถแข็งแกร่ง
 ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2570 และจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญให้กับกลุ่มบริษัทฯ จากต้นทุนการผลิตที่ต่ำลงและความยืดหยุ่นในการรับวัตถุดิบที่มากขึ้นของโรงงาน LSP เพื่อพร้อมรับกับตลาดปิโตรเคมีช่วงฟื้นตัวในอนาคต อีกทั้งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยแหล่งเงินลงทุนนั้นจะพิจารณาใช้แหล่งเงินทุนภายใน SCG
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2570 และจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญให้กับกลุ่มบริษัทฯ จากต้นทุนการผลิตที่ต่ำลงและความยืดหยุ่นในการรับวัตถุดิบที่มากขึ้นของโรงงาน LSP เพื่อพร้อมรับกับตลาดปิโตรเคมีช่วงฟื้นตัวในอนาคต อีกทั้งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยแหล่งเงินลงทุนนั้นจะพิจารณาใช้แหล่งเงินทุนภายใน SCG
อย่างไรก็ตาม ในช่วงธุรกิจปิโตรเคมีชะลอตัว นอกจากโรงงาน LSP แล้ว SCGC ยังมีแนวทางบริหารจัดการการผลิตของโรงงานอื่นทั้งระยองโอเลฟินส์ (ROC) และมาบตาพุดโอเลฟินส์ (MOC) ซึ่งยังมีผลการดำเนินงานที่ดี ให้มีศักยภาพการแข่งขันสูงสุด และเร่งเดินหน้าส่งมอบนวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูง เช่น SCGC Green Polymers เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาด
กูรูมองเชิงบวก
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย ASIA PLUS มีมุมมองเชิงบวกต่อพัฒนาการที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เพราะถือเป็นก้าวย่างสำคัญที่จะช่วยยกระดับธุรกิจปิโตรเคมีของ SCG ให้กลับมามีความสามารถในการแข่งขันได้อีกครั้ง
หากคำนวณบนปริมาณการใช้ก๊าซอีเทนที่จะทดแทนการใช้ Naphtha 1 ล้านตันต่อปี จะทำให้ LSPE มีต้นทุนการผลิตลดลงถึง 8,500 ล้านบาทต่อปี
อีกทั้งราคาก๊าซอีเทนก็มีความผันผวนต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับราคา Naphtha ที่เคลื่อนไหวไปตามราคาน้ำมันดิบ จึงทำให้โรงงาน LSP มีเส้นโค้งต้นทุน (Cost Curve) ดีขึ้นจากเดิมที่อยู่ในลำดับท้ายๆ ของโลก (4Th Quartile) มาอยู่ที่ระดับกลางๆ ของโลก (2nd Quartile) และมีความสามารถในการแข่งขันสูงที่สุดในอาเซียน
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon
 
                






















