ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. ราชพัฒนา เอ็นเนอร์ยี” เป็น “A-” จาก “A” “แนวโน้ม “Stable”

32

มิติหุ้น – ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ราชพัฒนา เอ็นเนอร์ยี จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “A-” จากเดิมที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังปรับอันดับเครดิตเฉพาะองค์กร (Stand-alone Credit Profile — SACP) ของบริษัทลงเป็นระดับ “bbb+” จากเดิมที่ระดับ “a-” ด้วย

การลดอันดับเครดิตในครั้งนี้สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเกณฑ์ซึ่งเคยกำหนดไว้ที่ 6 เท่า โดยระดับหนี้สินที่สูงขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากแนวโน้มที่บริษัทจะลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หลายโครงการและปริมาณความต้องการการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวล่าช้ากว่าคาด

ทริสเรทติ้งยังคงประเมินให้บริษัทมีสถานะเป็น “บริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ระดับปานกลาง” (Strategic Subsidiary) ของ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (RATCH อันดับเครดิต “AA+/Stable”) ซึ่งสถานะดังกล่าวช่วยเสริมอันดับเครดิตของบริษัทให้เพิ่มขึ้น 1 ขั้นจากอันดับเครดิตเฉพาะองค์กรของบริษัท

ทั้งนี้ อันดับเครดิตเฉพาะองค์กรของบริษัทยังคงสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่มั่นคงของบริษัทซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับคู่สัญญาหลักที่มีความน่าเชื่อถือ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) (อันดับเครดิต “AAA/Stable”) และบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (SPI อันดับเครดิต “AA-/Stable”) นอกจากนี้ อันดับเครดิตเฉพาะองค์กรดังกล่าวยังสะท้อนถึงการเริ่มดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมแห่งใหม่ภายใต้โครงการ SPP Replacement ในเดือนเมษายน 2567 ที่เป็นไปอย่างราบรื่นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตเฉพาะองค์กรก็มีข้อจำกัดจากการมีกำลังการผลิตส่วนเกินที่ไม่ได้ใช้งานและความท้าทายในการเพิ่มปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม อีกทั้งยังสะท้อนถึงแนวโน้มที่ระดับหนี้สินของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นจากแผนการลงทุนขนาดใหญ่ในกลุ่มโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งใหม่อีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ภาระหนี้สินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจากการลงทุนขนาดใหญ่

ทริสเรทติ้งประเมินว่าระดับหนี้สินของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นอันเนื่องมาจากแผนการลงทุนขนาดใหญ่ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่ ๆ โดยบริษัทได้รับการคัดเลือกให้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่จำนวน 5 แห่งภายใต้โครงการ “RE Big Lot Phase 2” ซึ่งมีกำลังการผลิตตามสัญญารวมทั้งสิ้น 298 เมกะวัตต์ โดยมีกำหนดเริ่มดำเนินการในปี 2569 และปี 2571 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าการลงทุนรวมมูลค่าประมาณ 1.1-1.2 หมื่นล้านบาทนี้ถือว่าเป็นวงเงินที่สูงมากสำหรับบริษัท โดยแม้จะมีการชะลอการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. แต่ทริสเรทติ้งก็ยังเชื่อว่าเป้าหมายการเติบโตของบริษัทจะสร้างแรงกดดันอย่างมีนัยสำคัญต่อสถานะทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงเป้าหมายของบริษัทที่จะขยายกำลังการผลิตรวมให้เพิ่มขึ้นเป็น 400 เมกะวัตต์ภายในปี 2570

ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าแผนการลงทุนของบริษัทจะส่งผลทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 9-10 เท่า โดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ระดับประมาณ 55%-65% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานในกรณีพื้นฐานว่าบริษัทจะมีการระดมทุนจากเงินทุนส่วนของผู้ถือหุ้นจากแหล่งภายนอกซึ่งอาจมาจากผู้ถือหุ้นเดิมหรือจากผู้ร่วมทุนรายใหม่ที่ระดับโครงการเพื่อรักษาระดับหนี้สินไม่ให้เกินกว่าระดับดังกล่าวข้างต้น

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถพัฒนาและดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งใหม่ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดวันที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์เนื่องจากความเสี่ยงในการก่อสร้างอยู่ในระดับต่ำและบริษัทยังมีประวัติในการพัฒนาโครงการในอดีตที่ผ่านมาอีกด้วย

มีกำลังการผลิตส่วนเกินและมีการเติบโตของลูกค้าภาคอุตสาหกรรมรายใหม่ที่ต่ำ

ผลการดำเนินงานของบริษัทต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้โดยมีสาเหตุหลักมาจากการมีกำลังการผลิตที่ยังใช้งานไม่เต็มที่และการเพิ่มขึ้นของลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหม่ที่ช้ากว่าที่คาดไว้ ทั้งนี้ บริษัทมีปริมาณไฟฟ้าที่จำหน่ายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 369 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) ซึ่งไม่ได้เพิ่มขึ้นมากไปกว่าปีก่อนหน้า ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมหภาคที่เกิดจากความตึงเครียดทางการค้าจะยังคงกดดันปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมและความไม่แน่นอนที่ยืดเยื้ออาจเป็นอุปสรรคต่อความสามารถของบริษัทในการดึงดูดลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหม่ ๆ ด้วยเหตุนี้ ทริสเรทติ้งจึงประมาณการว่าปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมของบริษัทจะยังคงทรงตัวในช่วงปี 2568-2569 ซึ่งแตกต่างไปจากประมาณการการเติบโตของรายได้ในครั้งก่อนหน้าที่คาดว่าจะช่วยสนับสนุนแผนการลดหนี้ของบริษัทได้

การพึ่งพาลูกค้าอุตสาหกรรมมากขึ้นยิ่งเพิ่มความเสี่ยงจากภาวะตลาด

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะเผชิญกับความเสี่ยงด้านอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในโครงสร้างรายได้ในช่วงปี 2568-2569 เนื่องจากกำลังการผลิตตามสัญญากับ กฟผ. ลดลงเหลือเพียง 30 เมกะวัตต์จากเดิม 90 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ยอดขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าศรีราชาของบริษัทที่จำหน่ายให้แก่ กฟผ. คาดว่าจะลดลงเหลือประมาณ 200-210 GWh ต่อปีในช่วงปี 2568-2570 จากที่ระดับประมาณ 600 GWh ในช่วงปี 2565-2566 และ 332 GWh ในปี 2567 รายได้ของบริษัทจึงจะมีการพึ่งพาการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้นซึ่งมีความเสี่ยงด้านอุปสงค์ โดยทริสเรทติ้งคาดว่าลูกค้าอุตสาหกรรมจะมีสัดส่วนเกือบ 60% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับประมาณ 35%-45% ในช่วงปี 2565-2566

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าสัดส่วนรายได้จาก กฟผ. จะเพิ่มขึ้นหลังจากที่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่จำนวน 3 แห่งเริ่มเปิดดำเนินการในช่วงครึ่งหลังของปี 2569 ซึ่งจะช่วยลดสัดส่วนรายได้จากลูกค้าอุตสาหกรรมลงให้เหลือประมาณ 50% ในปี 2570 พัฒนาการดังกล่าวนี้จะช่วยให้อุปสงค์มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้นและยังช่วยลดการพึ่งพาอุปสงค์การใช้พลังงานภายในสวนอุตสาหกรรมศรีราชาลงด้วย

กำไรจากลูกค้าอุตสาหกรรมดีขึ้นแม้ว่าการเติบโตจะล่าช้า

ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะดีขึ้นในปี 2568 แม้ว่าจะมีอุปสงค์ในการใช้ไฟฟ้าจากลูกค้าอุตสาหกรรมน้อยลง โดยคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 600-620 ล้านบาทในปี 2568 จาก 573 ล้านบาทในปี 2567 จากการมีประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมแห่งใหม่ที่ดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างค่าไฟฟ้าเมื่อเทียบกับต้นทุนเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าขนาด 1 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh หรือ หน่วย) (Spark Spread)  สำหรับลูกค้าอุตสาหกรรมกว้างขึ้น

ภายใต้ประมาณการกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมแห่งใหม่จะดำเนินการด้วยค่าความร้อนประมาณ 7,300-7,400 บีทียูต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (BTU/kWh) ในช่วงปี 2568-2570 ซึ่งต่ำกว่าค่าความร้อนก่อนหน้านี้ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 8,300-8,500 BTU/kWh และเป็นการสะท้อนถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานที่สูงขึ้น

นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งไม่คาดว่าจะมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างราคาเชื้อเพลิงจริงและอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ในประมาณการกรณีพื้นฐานเมื่อพิจารณาจากราคาก๊าซธรรมชาติที่กลับมาอยู่ในระดับปกติ ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่า Spark Spread จะดีขึ้นและคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 760 ล้านบาทในปี 2569 และ 1.2 พันล้านบาทในปี 2570 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เพิ่มเข้ามาจากรายได้การขายไฟฟ้าให้ กฟผ. เมื่อโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 3 แห่งเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2569 ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA จากโครงการโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งนี้จะอยู่ที่ประมาณ 130-150 ล้านบาทในปี 2569 และ 540-560 ล้านบาทในปี 2570

สภาพคล่องที่สามารถบริหารจัดการได้

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสถานะสภาพคล่องที่สามารถบริหารจัดการได้ โดยแหล่งสภาพคล่องของบริษัท ณ สิ้นปี 2567 ประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 434 ล้านบาทและวงเงินกู้ยืมจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้รวมทั้งสิ้นจำนวน 1.54 พันล้านบาท นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดการณ์ว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 380-430 ล้านบาท ซึ่งแหล่งสภาพคล่องเหล่านี้น่าจะเพียงพอต่อการชำระคืนหนี้ครบกำหนดชำระจำนวนประมาณ 1.63 พันล้านบาทซึ่งได้รวมเงินกู้ยืมระยะสั้นแล้ว รวมถึงค่าใช้จ่ายลงทุนประมาณ 200-300 ล้านบาท และเงินปันผลตามที่บริษัทประกาศล่าสุดอีกจำนวน 58 ล้านบาท ทั้งนี้ การที่บริษัทสามารถเข้าถึงตลาดสินเชื่อได้ก็น่าจะช่วยให้บริษัทสามารถต่ออายุเงินกู้ระยะสั้นจำนวน 705 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2567 และหาแหล่งเงินกู้ใหม่เพื่อชำระคืนหุ้นกู้จำนวน 700 ล้านบาทที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2568 ได้โดยได้รับการสนับสนุนจากธนาคาร

นอกจากนี้ ในช่วงเวลาเดียวกันทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1.5 พันล้านบาทในปี 2568 สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งใหม่ทั้ง 3 โครงการ โดยทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถจัดหาเงินทุนที่จำเป็นได้โดยการใช้กระแสเงินสดภายในกิจการและการจัดหาแหล่งทุนจากภายนอกเพิ่มเติม

โครงสร้างหนี้

ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมีหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนรวมทั้งสิ้นจำนวน 118 ล้านบาทซึ่งคิดเป็นประมาณ 2.6% ของหนี้สินทางการเงินรวม โดยหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนประกอบด้วยหนี้ที่มีหลักประกันจำนวน 33 ล้านบาทและหนี้ของบริษัทย่อยที่ไม่มีหลักประกันจำนวน 85 ล้านบาท

เป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ระดับปานกลางของ RATCH

ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทนั้นเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ระดับปานกลางของ RATCH โดยบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของ RATCH ในเดือนธันวาคม 2564 ปัจจุบัน RATCH มีสัดส่วนการถือหุ้น 51.7% ในบริษัท ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา บริษัทได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินในเครือข่ายของ RATCH นอกจากนี้ บริษัทยังได้ปรับใช้นโยบายทางการเงินที่สอดคล้องกับนโยบายของ RATCH และ RATCH เองก็ได้แสดงเจตจำนงว่าจะให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่บริษัทตามที่จำเป็นอีกด้วย

RATCH ได้กำหนดบทบาทของบริษัทให้เป็นบริษัทหลัก (Flagship Company) ในการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กและขนาดกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่เน้นการใช้พลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้ RATCH ได้แต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงให้เข้ามาดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการของบริษัทและผู้บริหารระดับสูงของบริษัทก็ได้รับการแต่งตั้งโดย RATCH ด้วยเช่นกัน สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่บริษัทเพิ่งได้รับการคัดเลือกให้ดำเนินการซึ่งมีความสอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนของ RATCH นั้น ทริสเรทติ้งเชื่อว่า RATCH จะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนแผนการจัดหาเงินทุนให้แก่บริษัทสำหรับการลงทุนดังกล่าว

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

สมมติฐานกรณีพื้นฐานที่สำคัญ ๆ ของทริสเรทติ้งสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในช่วงระหว่างปี 2568-2570 มีดังต่อไปนี้

  • ค่าความร้อนของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมภายใต้โครงการ SPP Replacement จะอยู่ในช่วง 7,300-7,400 BTU/kWh
  • ยอดขายไฟฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมในสวนอุตสาหกรรมศรีราชาคาดว่าจะทรงตัวในช่วงปี 2568-2569 และจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ในปี 2570
  • ดัชนีการสั่งจ่ายไฟฟ้า (Dispatch Factor) ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ กฟผ. ขนาด 30 เมกะวัตต์จะอยู่ที่ระดับประมาณ 80%
  • ดัชนีค่าความพร้อมของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมแห่งภายใต้โครงการ SPP Replacement เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 97%
  • ดัชนีค่าความพร้อมของโรงไฟฟ้าชีวมวลทั้ง 2 แห่งจะอยู่ในช่วงระหว่าง 93%-97%
  • งบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการลงทุนขยายธุรกิจที่มีข้อผูกพันจะอยู่ที่จำนวนทั้งสิ้น 400-500 ล้านบาท
  • เงินลงทุนสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งใหม่ที่ได้รับการคัดเลือกจำนวน 5 โครงการจะมีมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 1.1-1.2 หมื่นล้านบาท
  • โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งใหม่จะใช้โครงสร้างทางการเงินแบบสินเชื่อโครงการโดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ประมาณ 3 เท่า

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่สอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง นอกจากนี้ บริษัทจะสามารถบริหารจัดการโครงสร้างเงินทุนสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งใหม่เพื่อที่จะรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ให้คงอยู่ในระดับต่ำกว่า 10 เท่าเอาไว้ได้ตลอดช่วงระยะเวลาการลงทุน

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับอันดับเครดิตของบริษัทขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของอันดับเครดิตเฉพาะองค์กรของบริษัท ระดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของบริษัทที่มีต่อ RATCH หรือสถานะเครดิตของ RATCH

ทริสเรทติ้งคาดว่าไม่น่าจะมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตเฉพาะองค์กรของบริษัทในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งอาจพิจารณาปรับเพิ่มอันดับเครดิตได้หากบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าการคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจเกิดจากการมีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมที่สูงกว่าคาด การบริหารหนี้อย่างรอบคอบ หรือทั้งสองปัจจัยรวมกัน

ในทางกลับกัน อันดับเครดิตเฉพาะองค์กรของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากบริษัทระดมทุนด้วยการการก่อหนี้ที่มากกว่าคาดสำหรับการลงทุนใหม่ ๆ เช่น การไม่ใช้แหล่งทุนจากภายนอกในรูปของเงินทุนจากผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ การปรับลดอันดับเครดิตเฉพาะองค์กรยังอาจเกิดขึ้นจากปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความสำเร็จของโครงการ เช่น การใช้จ่ายเกินงบประมาณอย่างมีนัยสำคัญหรือความล่าช้าในการเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในขณะที่ผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่าคาดอย่างมีสาระสำคัญอันเกิดจากแรงกดดันต่อ Spark Spread หรือการเติบโตของอุปสงค์ในการใช้ไฟฟ้าจากกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่ต่ำกว่าคาดก็อาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลกดดันต่ออันดับเครดิตเฉพาะองค์กรของบริษัทได้ด้วยเช่นกัน

 

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

– เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565

– เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

– อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

 

บริษัท ราชพัฒนา เอ็นเนอร์ยี จำกัด (มหาชน) (SCG)

อันดับเครดิตองค์กร: A-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:  
SCG259A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A-
SCG299A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 550 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 A-
SCG329A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 A-
แนวโน้มอันดับเครดิต: stable

 

 

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon