มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 284 จุด (+0.7%) ได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นในกลุ่มชิปช่วงท้ายตลาดหลังมีรายงานว่าทรัมป์มีแผนจะยกเลิกการควบคุมส่งออก AI ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 1.6% หลังมีสัญญาณถึงความคืบหน้าในการเจรจานิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน
เมื่อคืนที่ผ่านมามิได้มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญจากฝั่งสหรัฐฯแต่มีผลประชุม FED พบว่ามีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ ถ้อยแถลงภายในของประธาน FED ระบุว่ามีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นและเผยเพิ่มเติมว่า FED กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีของ Trump และเศรษฐกิจแบ่งเป็น 2 ขั้วได้แก่ตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งแต่สวนทางกับ GDP ที่อ่อนแอ (ไตรมาสล่าสุด) โดยประธาน FED ปฎิเสธการลดดอกเบี้ยล่วงหน้าหรือมิสามารถคาดการณ์ได้เพราะจำเป็นต้องเห็นข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประเมินแนวทางที่เหมาะสม ส่วนความเห็นเกี่ยวกับการเจรจาการค้าต่อนโยบายการเงินระบุไว้ว่าการเจรจากำลังเข้าสู่ช่วงพูดคุย ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้อย่างมากหรือไม่เปลี่ยนก็เป็นไปได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากเจรจานั้นสำคัญมากพร้อมยอมรับว่าภาษีที่ Trump ประกาศขึ้นนั้นสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ในแบบจำลองค่อนข้างมากและยืนยันว่าธนาคารกลางมีอิสระในการดำเนินงาน การเรียกร้องให้ลดดอกเบี้ยจาก Trump จึงไม่มีผลกระทบใดๆต่อการตัดสินใจของ FED เพราะ FED จะเน้นย้ำด้วยข้อมูลเศรษฐกิจเท่านั้น โดยยอมรับมาตรการภาษีนำเข้าอาจทำให้ดอกเบี้ยต้องอยู่ระดับสูงนานกว่าคาดและการบรรลุเป้าหมายทั้งตลาดแรงงานและเสถียรภาพของราคาอาจล่าช้า ซึ่งปัญหามากกว่านั้นคือทาง FED เองก็ยังไม่ทราบแน่ชัดเพราะข้างหน้ามีความไม่แน่นอนสูง
โดยสรุปแล้ว FED กำลังเผชิญการดำเนินนโยบายที่ยากมากขึ้นและจะไม่เร่งร้อนลดดอกเบี้ยจากความเสี่ยงภาษีที่สูงประกอบกับจะเน้นพิจารณาจากข้อมูลเป็นหลัก ภายหลังจากทราบผลอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับลง ราคาทองคำเช้านี้เริ่มฟื้นตัว (อาจเป็นเพราะความไม่แน่นอนที่รออยู่ในข้างหน้า) โดยรวมมองเป็นบวกเล็กน้อยต่อตลาดหุ้นจากถ้อยแถลงที่ไม่ถึงกับแสดงความกังวลมากนักทั้งในเรื่องของเงินเฟ้อและเศรษฐกิจ คืนนี้รอติดตามผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 2.3 แสนราย (หากมากกว่าคาดการณ์มองเป็นบวก) ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ปรับลดเศรษฐกิจไทยเหลือขยายตัว 2.1% จากเดิมที่ 2.7% แรงกดดันหลักจากภาษีสหรัฐฯ แต่หากถูกเก็บภาษีนำเข้าถึง 36% เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวได้เพียง 1.1% วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหว 1210 – 1235 ทั้งนี้ ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนดัชนีฟื้นขึ้นมาจากจุดต่ำสุด 13% น่าจะสะท้อนปัจจัยหนุนด้านการเจรจาการค้าไปพอสมควรอแล้ว แต่มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงและยังไม่เชื่อว่าเจรจรการค้าจะจบลงด้วยดี (ยืดเยื้อ) จึงแนะทยอยทำกำไรเพิ่มการถือครองเงินสดและรอจังหวะซื้อกลับช่วงตลาดปรับฐาน แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนระยะสั้นที่รับความเสี่ยงได้อาจเก็งกำไรระยะสั้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) ปัจจัยหนุน FED อาจมิเร่งลดดอกเบี้ย
BBL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 160.00 บาท)
แม้การเติบโตของกำไรในปี 2025 จะไม่โดดเด่น และมีความท้าทายเพิ่มขึ้นจากปัจจัยภายนอก เราชอบ BBL (1) งบดุลแข็งแกร่ง (2) Valuation ไม่แพงซื้อขายที่ 0.45x PBV’25E และ PE’25 ที่ 5.7 เท่า (3) ความสามารถในการเพิ่มรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ควบคุมค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ และค่าใช้จ่ายการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบจาก NIM ที่ลดลง และ (4) คาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง 6.3%
CPN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)
รายงานกำไรสุทธิงวด 1Q25 ที่ 4,227 ล้านบาท (+2%YoY, +9%QoQ) ใกล้เคียงที่เราคาด โดยเทียบกับปีก่อนเติบโตจากรายได้ศูนย์การค้าและโรงแรม ที่มีการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ทีเปิดระหว่างปี ส่วนเพิ่มจาก 4Q24 เพราะไตรมาสก่อนมีรายกการพาหากไม่รวมกำไรปกติจะลดลง 4%QoQ จากรายได้อสังหาริมทรัพย์ที่ลดลงแนวโน้มช่วงที่เหลือของปีคาดรายได้ยังเติบโตได้จากการเปิดศูนย์ใหม่ในช่วง 2H25 และมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากภาครัฐที่จะเริ่มในช่วง 2Q25 นี้
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon