มิติหุ้น-ก่อนอำลาตำแหน่งของคุณปู่ “วอเรน บัฟเฟตต์” นักลงทุนผู้ทรงอิทธิพล ผู้สร้างตำนาน ถึงเวลาที่จะลงจากตำแหน่งซีอีโอ เบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ เขาได้ฝากบทเรียนมากมายทั้งการเงิน ชีวิต การลงทุน และธุรกิจ ที่พลิกชีวิตคน และบริษัท จากเกือบล้ม สู่ ความสำเร็จ
วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) เป็นนักลงทุนระดับตำนานที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกการเงิน ด้วยปรัชญาการลงทุนที่เน้นคุณค่าที่แท้จริง (Value Investing) และการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ เขาได้เปลี่ยน เบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ (Berkshire Hathaway) จากบริษัทสิ่งทอที่กำลังล้มเหลวให้กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
หลังจากดำรงตำแหน่งซีอีโอมายาวนานกว่า 60 ปี บัฟเฟตต์ได้ประกาศอำลาตำแหน่งซีอีโอของเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2025 และจะส่งมอบตำแหน่งอย่างเป็นทางการในช่วงสิ้นปีนี้ โดยผู้ที่จะมารับช่วงต่อคือ เกร็ก อาเบล (Greg Abel) ซึ่งเป็นรองประธานฝ่ายปฏิบัติการที่ไม่เกี่ยวกับประกันภัยซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ แต่ได้รับการวางตัวเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 2021 เพราะเคยมีประสบการณ์ธุรกิจหลากลหาย เช่น พลังงาน, การขนส่ง, การผลิต และค้าปลีก ทำให้เข้าใจแนวทางการลงทุนที่แท้จริงของบริษัท
ภายใต้การนำของบัฟเฟตต์ เบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์มีมูลค่าตลาดสูงถึง 334,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2025 โดยมีการถือหุ้นในบริษัทชั้นนำ เช่น Apple, Coca-Cola และ American Express ส่วนมูลค่าทรัพย์สินของบัฟเฟตต์เองอยู่ที่ประมาณ 168.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2025
แม้จะก้าวลงจากตำแหน่งซีอีโอ แต่บัฟเฟตต์ยังคงมีบทบาทสำคัญในบริษัท และยืนยันว่าเขาจะไม่ขายหุ้นของเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ โดยตั้งใจจะมอบทรัพย์สินของเขาเพื่อการกุศลในอนาคต
การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ และโลกการลงทุน ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกต่างจับตามองว่าอาเบลจะสามารถสานต่อแนวทางของบัฟเฟตต์และนำพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จต่อไปได้หรือไม่
ประวัติของมหาเศรษฐี กับตัวตนเรียบง่ายไม่ติดหรู
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 1930 ที่เมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา สหรัฐอเมริกา เขาแสดงความสนใจด้านธุรกิจและการลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ปี และเริ่มทำธุรกิจเล็กๆ เช่น ขายหนังสือพิมพ์และเครื่องเล่นพินบอล
บัฟเฟตต์ศึกษาด้านธุรกิจที่ มหาวิทยาลัยเนแบรสกา และต่อมาได้รับปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งเขาได้เรียนรู้แนวคิดการลงทุนจาก เบนจามิน เกรแฮม (Benjamin Graham) ผู้เป็นบิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing)
ในปี 1956 เขาก่อตั้ง Buffett Partnership Ltd. และเริ่มลงทุนในบริษัทที่มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ต่อมาในปี 1965 เขาเข้าซื้อกิจการ Berkshire Hathaway ซึ่งเดิมเป็นบริษัทสิ่งทอที่กำลังล้มเหลว และเปลี่ยนให้กลายเป็นกลุ่มบริษัทที่มีการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น Apple, Coca-Cola และ American Express
ในปี 1956 เขาก่อตั้ง Buffett Partnership Ltd. และเริ่มลงทุนในบริษัทที่มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ต่อมาในปี 1965 เขาเข้าซื้อกิจการ Berkshire Hathaway ซึ่งเดิมเป็นบริษัทสิ่งทอที่กำลังล้มเหลว และเปลี่ยนให้กลายเป็นกลุ่มบริษัทที่มีการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น Apple, Coca-Cola และ American Express
แม้จะร่ำรวยระดับมหาเศรษฐีที่ติดอันดับร่ำรวยที่สุดในโลก ที่มีกินมีใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด แต่ไม่ได้ยึดติดกับชีวิตหรูหรา กลับมีวิถีชีวิตเรียบง่าย เขายังใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังเดิมที่ซื้อในปี 1958 บ้านที่เขาเริ่มต้นอาชีพซื้อมาในราคาเพียง 31,500 ดอลลาร์ ในเมืองโอมาฮา ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เช่น การขับรถไปทำงาน ไม่ได้มีนิสัยฟุ้งเฟ้อ ใช้คนขับรถหรือมีรถหรู แต่ตัวจริงของเขาก็ต้องดื่มโค้กเป็นประจำ เฉลี่ยวันละ 5 กระป๋อง และชื่นชอบกินอาหารง่ายๆ เช่น McDonald’s
ศาสตร์แห่งการลงทุนของปู่ “วอเรน บัฟเฟตต์”
การลงทุนเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจ และการวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในการลงทุน บทเรียนและวิธีการลงทุนของวอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) นักลงทุนที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จสูง มีเส้นทางชีวิตบนถนนนักลงทุน วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้พัฒนาปรัชญาการลงทุน อยู่บนหลักการของ “การลงทุนในค่าที่แท้จริง” (Value Investing) และ “การวิเคราะห์พื้นฐาน” (Fundamental Analysis) โดยมีหลักการที่สำคัญหลายข้อมากำหนดวิธีการลงทุนของเขา มีจุดมุ่งหมายเพื่อค้นหาหุ้นที่มีมูลค่า ต่ำกว่าค่าที่แท้จริง เขาเชื่อว่า
“การซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าความสามารถในการสร้างรายได้ในอนาคต ถือเป็นโอกาสในการทำกำไรระยะยาว “
การลงทุนในค่าที่แท้จริง ประกอบด้วยการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ซึ่งถือเป็นความสามารถในการทำกำไรในอนาคต โดยมีปัจจัยหลายประการในการประเมิน เช่น ผลประกอบการ, สถานะทางการเงิน, ส่วนแบ่งการตลาด และความสามารถในการแข่งขัน รวมไปถึง “ความปลอดภัยในการลงทุน” (margin of safety) มีการประเมินค่ามากกว่าความเสี่ยงที่มีตลอดเวลา
ถอดบทเรียน 25 ข้อ ชีวิตและการลงทุนของ วอเรน บัฟเฟตต์ ปรัขญาอันเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ที่เขายึดถือเกี่ยวกับเงิน ธุรกิจ และชีวิต
1. จงโลภเมื่อคนอื่นกลัว & จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ
บัฟเฟตต์เชื่อว่าความกลัวและความโลภเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดหุ้น เมื่อคนอื่นตื่นตระหนกและขายหุ้นออกไป นั่นอาจเป็นโอกาสทองในการซื้อสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ในทางกลับกัน เมื่อทุกคนแห่กันเข้าซื้อหุ้นโดยไม่คำนึงถึงมูลค่าที่แท้จริง นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนให้ระวัง
2. ตลาดหุ้นเป็นเครื่องลงคะแนนในระยะสั้น และเป็นเครื่องชั่งในระยะยาว
ในระยะสั้น ราคาหุ้นอาจถูกกำหนดโดยอารมณ์ของตลาด แต่ในระยะยาว มูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจจะสะท้อนออกมา
3. ลงทุนในสิ่งที่คุณเข้าใจ
บัฟเฟตต์หลีกเลี่ยงการลงทุนในธุรกิจที่ซับซ้อนเกินไป หากคุณไม่สามารถอธิบายให้เด็กประถมเข้าใจได้ ก็อาจเป็นสัญญาณว่าคุณไม่ควรลงทุน
4. เวลาเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุดของคุณ
บัฟเฟตต์เน้นการลงทุนระยะยาวและให้พลังของ ดอกเบี้ยทบต้น ทำงาน
5. ชื่อเสียงใช้เวลา 20 ปีในการสร้าง แต่ใช้เวลา 5 นาทีในการทำลาย
เขาให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์และชื่อเสียง เพราะมันเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด
6. ความเรียบง่ายไม่ใช่ความโง่
บัฟเฟตต์ใช้ชีวิตเรียบง่าย แม้จะเป็นมหาเศรษฐี เขายังคงอาศัยอยู่ในบ้านเดิมที่ซื้อในปี 1958 ขับรถไปทำงานด้วยตัวเอง และดื่ม Coca-Cola เป็นประจำ
7. เดิมพันกับคน
เขาให้ความสำคัญกับทีมงานและผู้บริหารที่มีความสามารถมากกว่าตัวเลขทางการเงิน
8. รู้ว่าเมื่อไหร่ควรกล่าวว่า “ไม่”
บัฟเฟตต์เชื่อว่าการปฏิเสธโอกาสที่ไม่เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาวินัยในการลงทุน
9. อ่านทุกวัน
เขาใช้เวลา 5-6 ชั่วโมงต่อวัน ในการอ่านหนังสือและรายงานทางการเงิน
10. ความสำเร็จคือการได้สิ่งที่คุณต้องการ ความสุขคือการต้องการสิ่งที่คุณได้
เขาเชื่อว่า ความสำเร็จและความสุขเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน แต่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง
-
ความสำเร็จ คือการได้สิ่งที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายทางธุรกิจ การเงิน หรือความสำเร็จส่วนตัว มันคือผลลัพธ์ของความพยายาม การวางแผน และการตัดสินใจที่ถูกต้อง
-
ความสุข คือการต้องการสิ่งที่คุณได้ หมายถึงการรู้จักพอใจและมีความสุขกับสิ่งที่คุณมีอยู่แล้ว ไม่ใช่การไล่ตามสิ่งใหม่ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
11. อยู่กับคนที่ดีกว่าคุณ
บัฟเฟตต์เชื่อว่าการเลือกสังคมมีผลต่อความสำเร็จของเรา หากคุณอยู่กับคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีจริยธรรม และมีแรงบันดาลใจ คุณก็จะได้รับอิทธิพลที่ดีและเติบโตไปในทิศทางที่ถูกต้อง
12. ทักษะที่สำคัญที่สุดในธุรกิจคือการสื่อสาร
เขาเน้นว่าการสื่อสารที่ชัดเจนเป็นกุญแจสำคัญในการทำธุรกิจ หากคุณไม่สามารถอธิบายแนวคิดของคุณให้เข้าใจง่ายได้ แสดงว่าคุณอาจยังไม่เข้าใจมันดีพอ
13. รู้ขอบเขตความสามารถของคุณและอยู่ในนั้น
บัฟเฟตต์ไม่ลงทุนในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ เขาเชื่อว่าการรู้ขีดจำกัดของตัวเองและอยู่ในขอบเขตที่เรามีความเชี่ยวชาญจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ
14. การไม่ทำอะไรอาจเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
บางครั้งการตัดสินใจที่ดีที่สุดคือการไม่ทำอะไรเลย การอดทนและรอคอยโอกาสที่เหมาะสมดีกว่าการตัดสินใจโดยไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ
15. คุณไม่จำเป็นต้องตีทุกลูกที่เสิร์ฟ
บัฟเฟตต์เปรียบเทียบการลงทุนกับเบสบอล คุณไม่จำเป็นต้องลงทุนในทุกโอกาสที่เข้ามา แต่ควรรอให้ถึงจังหวะที่เหมาะสมและลงมืออย่างมั่นใจ
16. สร้างขอบเขตความปลอดภัย
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือชีวิตส่วนตัว การมีขอบเขตความปลอดภัยช่วยลดความเสี่ยงและทำให้เรามีความมั่นคงมากขึ้น
17. หลีกเลี่ยงหนี้สิน
บัฟเฟตต์หลีกเลี่ยงหนี้สินส่วนบุคคล เพราะมันทำให้คุณสูญเสียทางเลือกและความยืดหยุ่นทางการเงิน
18. ยอมรับความผิดพลาดของคุณอย่างรวดเร็ว
เขาเชื่อว่าการยอมรับความผิดพลาดและแก้ไขอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการปฏิเสธความจริงอาจทำให้เกิดความเสียหายมากขึ้น
19. จ้างคนที่มีความซื่อสัตย์, ฉลาด, และกระตือรือร้น
บัฟเฟตต์กล่าวว่า หากคุณจ้างคนที่ฉลาดและกระตือรือร้นแต่ไม่มีความซื่อสัตย์ พวกเขาจะทำลายคุณ
20. อ่านทุกวัน
เขาใช้เวลา 5-6 ชั่วโมงต่อวัน ในการอ่านหนังสือและรายงานทางการเงิน เพราะเขาเชื่อว่าความรู้คือการลงทุนที่ดีที่สุด
21. ความสำเร็จคือการได้สิ่งที่คุณต้องการ ความสุขคือการต้องการสิ่งที่คุณได้
บัฟเฟตต์เน้นความกตัญญูและความพอใจในสิ่งที่มี เพราะมันช่วยให้เรามีความสุขและมีชีวิตที่สมดุล
22. อย่าสับสนระหว่างกิจกรรมกับความก้าวหน้า
การยุ่งไม่ได้หมายถึงการมีประสิทธิภาพ บัฟเฟตต์ให้ความสำคัญกับการทำสิ่งที่มีคุณค่าแทนที่จะทำงานหนักโดยไม่มีเป้าหมาย
23. ความเรียบง่ายไม่ใช่ความโง่
กลยุทธ์ที่ดีที่สุดมักจะเรียบง่ายและตรงไปตรงมา บัฟเฟตต์ใช้ชีวิตเรียบง่ายแม้จะเป็นมหาเศรษฐี
24. เดิมพันกับคน
เขาให้ความสำคัญกับทีมงานและผู้บริหารที่มีความสามารถมากกว่าตัวเลขทางการเงิน
25. รู้ว่าเมื่อไหร่ควรกล่าวว่า “ไม่”
ทำไมการกล่าวว่า “ไม่” จึงสำคัญ?
บัฟเฟตต์เคยกล่าวว่า “ความแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จ กับคนที่ประสบความสำเร็จมากจริงๆ คือ คนที่ประสบความสำเร็จมากจริงๆ จะกล่าวว่า ‘ไม่’ กับเกือบทุกอย่าง” หลักการนี้สะท้อนถึง ความสำคัญของการจัดลำดับความสำคัญ และ การปกป้องเวลาและพลังงาน ของตัวเอง หากคุณตอบรับทุกโอกาสที่เข้ามา คุณอาจเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่สำคัญและไม่ช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมาย
วิธีการกล่าวว่า “ไม่” อย่างมีประสิทธิภาพ
- กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน – หากคุณรู้ว่าคุณต้องการอะไร คุณจะสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าอะไรควรรับและอะไรควรปฏิเสธ
- อย่ากลัวที่จะปฏิเสธ – การกล่าวว่า “ไม่” ไม่ได้หมายถึงการหยาบคาย แต่เป็นการรักษาโฟกัสของคุณ
- ใช้เหตุผลที่ชัดเจน – หากต้องปฏิเสธข้อเสนอหรือคำขอ ให้ใช้เหตุผลที่ชัดเจน เช่น “ฉันต้องโฟกัสกับโปรเจคที่สำคัญในตอนนี้”
- ตั้งขอบเขตที่ชัดเจน – การมีขอบเขตช่วยให้คุณสามารถปฏิเสธสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของคุณได้ง่ายขึ้น
กุญแจสู่ความสำเร็จ หลักการคือการเลือกโอกาสที่เหมาะสมและปฏิเสธสิ่งที่ไม่จำเป็นช่วยให้คุณสามารถโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ เพราะการจัดลำดับความสำคัญช่วยให้คุณใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ – อย่าปล่อยให้ตัวเองถูกดึงไปกับสิ่งที่ไม่ช่วยให้คุณก้าวหน้า และตั้งขอบเขตช่วยให้คุณรักษาสมดุลในชีวิต การรู้ว่าเมื่อไหร่ควรกล่าวว่า “ไม่” ทำให้คุณสามารถรักษาสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวได้
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon