มิติหุ้น – บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ด้วยยอดขาย 2,589 ล้านบาท เติบโต 4.7% YoY จากการเติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ส่วนยอดขายต่างประเทศโต 10.3% YoY พร้อมผลกำไร 256 ล้านบาท เติบโต 6.7% QoQ แม้เผชิญกับความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากการปรับปรุงสินค้าเดิมให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น ประกอบกับการเพิ่ม SKU ของสินค้าอย่างสม่ำเสมอ สอดคล้องกับกลยุทธ์ Segment Creator เพื่อตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงและครอบคลุมทุกกลุ่ม ตลอดจนการบริหารจัดการต้นทุน การจัดการคลังวัตถุดิบ และควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างแข็งแกร่ง
นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในไตรมาสแรกของปี 68 นี้ เรายังคงสามารถรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันจะไม่ค่อยเอื้ออำนวยก็ตาม โดยยอดขายในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักเติบโตได้ดีจากปีก่อนหน้า ซึ่งประเมินแล้วว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด FMCG เป็นผลมาจากการที่เราดำเนินกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการสร้างความแตกต่างและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลักดันสินค้าพรีเมียมแมสที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด ประกอบกับกลยุทธ์ Segment Creator ที่เป็นการสร้างสรรค์นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มาสร้างสีสันและเติมเต็มช่องว่างความต้องการในตลาดอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ยอดขายจากต่างประเทศเองก็เริ่มฟื้นตัวจากการปรับปรุงและขยายช่องทางการขายตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา ทั้งหมดนี้ช่วยให้เราสามารถสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ความท้าทายสำคัญในช่วงต้นปีคือราคาต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นจากภาวะราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้นตามต้องความการของตลาดในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราได้ดำเนินการซื้อวัตถุดิบล่วงหน้า และบริหารวัตถุดิบอย่างรอบคอบ รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายในทุกส่วน ส่งผลให้ต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ ไม่สูงเท่าที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ อีกทั้งยังสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้ในกรอบ 41-43% และอัตรากำไรสุทธิในกรอบ 8-10% ได้อย่างมั่นคง
ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 68 และปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต
ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2568 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของ NEO ในการรักษาอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยยอดขายรวมเติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก ซึ่งเติบโตจากปีก่อนหน้า 6.0% 5.7% และ 2.1% ตามลำดับ การเติบโตของยอดขายส่วนใหญ่มาจากผลิตภัณฑ์น้ำยาซักผ้า และผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มภายใต้แบรนด์ Fineline ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ และครีมบำรุงผิว ภายใต้แบรนด์ BeNice ซึ่งนับเป็นความสำเร็จจากการเปิดตัวไลน์ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวภายใต้แบรนด์ BeNice ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2567 เป็นต้นมา ในขณะที่ D-nee มีการเติบโตในทิศทางที่ดี ส่วนหนึ่งจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ D-nee deluxe ตามกลยุทธ์ Segment Creator เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ นอกจากนี้ ยอดขายสินค้าพรีเมียมแมสเติบโตถึง 34% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว คิดเป็นสัดส่วน 5% ของยอดขายรวม
ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการสร้างความแตกต่างและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลักดันสินค้าพรีเมียมสำหรับกลุ่ม Silver Age ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด ในขณะเดียวกัน ยอดขายจากต่างประเทศสามารถฟื้นตัวเติบโต 10.3% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากการขยายแบรนด์สินค้า และเพิ่ม SKU ใหม่ๆ เข้าไปในประเทศส่งออกหลัก รวมทั้งปรับปรุงและขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้มีประสิทธิภาพและครอบคุลมพื้นที่มากขึ้น
อีกหนึ่งก้าวสำคัญของนีโอ คอร์ปอเรท ในต้นเดือนที่ผ่านมาคือการเปิดตัวแบรนด์ “LovliTails” ซึ่งถือเป็นแบรนด์ใหม่ของบริษัทในรอบ 15 ปี และการขยายพอร์ตโฟลิโอสู่ตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงเป็นครั้งแรก โดยมุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยงยุคใหม่ ซึ่งกลยุทธ์การตลาดจะให้ความสำคัญกับการสื่อสารผ่าน Influencer และ KOL ซึ่งเป็นผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ตัวจริงที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างแบรนด์ให้เป็นผู้นำในตลาดพรีเมียม และพรีเมียมแมส ภายใน 3 ปี
ทิศทางธุรกิจปี 2568
สำหรับทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 นีโอ คอร์ปอเรท วางแผนที่จะเดินหน้าขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยได้ดำเนินการลงทุนเพื่อขยายโรงงานและการผลิตแบบแบ่งเป็นเฟส สอดคล้องกับแผนการเติบโตที่วางไว้ เพื่อเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงและลดภาระทางการเงินจากการลงทุนขนาดใหญ่ในคราวเดียว โดยจัดสรรค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CAPEX) ในปี 2568 ไว้ที่ 2,300-2,500 ล้านบาท ประกอบด้วยการก่อสร้างอาคารและโรงงานสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ซึ่งแล้วเสร็จไปเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 เตรียมเปิดใช้งานเต็มรูปแบบภายในปีนี้ และการก่อสร้างโรงงานสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน เฟสหนึ่ง ซึ่งเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน 2569 ตามด้วยเฟสสองที่จะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2571
ขณะเดียวกัน บริษัทยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านช่องทาง e-commerce ซึ่งมีการเติบโตถึง 33% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรงและตอบสนองต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเพิ่มจำนวน live streaming และการส่งเสริม Affiliate Marketing เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กลงเพื่อตอบสนองต่อสภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น เช่น Fineline น้ำยาซักผ้า ขนาด 140 มล. และน้ำยาปรับผ้านุ่ม ขนาด 150 มล. ซองเล็กราคาเริ่มต้น 20 บาท ช่วยให้ผู้บริโภคเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น
ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 NEO ยังได้รับรางวัล “The Most Attractive Employer” จาก Future Trend Award 2025 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพ รวมถึงรางวัล “Excellence in Sustainable Research Collaboration Award” จากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
“ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีความท้าทาย เรายังคงเชื่อมั่นในแนวโน้มของตลาดสินค้า FMCG ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนในปี 2568 และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ NEO ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค เรามั่นใจว่าจะสามารถรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยความแข็งแกร่งของแบรนด์ และการมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างครอบคลุมทุกกลุ่มและทุกมิติ เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตในระยะยาว” นายสุทธิเดช กล่าวทิ้งท้าย
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon