Pi Daily ตลาดหุ้นทั่วโลกเคลื่อนไหวจำกัดหลังสะท้อนปัจจัยเจรจาการค้าไปแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังเหมือนเดิม Upside จำกัด วานนี้สภาอุตสาหกรรมรายงานยอดผลิตรถยนต์ (-0.4%YoY) ต่ำสุดในรอบ 44 เดือน

14

มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนทรงตัวเมื่อเทียกับวันก่อนหน้าท่ามกลางการซื้อขายที่เป็นไปอย่างผันผวนหลังจากสภาผู้แทนสหรัฐฯผ่านร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายของ Trump ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.7% หลังมีรายงานว่า OPEC+ กำลังหารือกันเกี่ยวกับการเพิ่มผลิตน้ำมันในเดือน ก.ค.

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานตัวเลขดัชนี PMI เบื้องต้นในส่วนของภาคผลิตและภาคบริการพบว่าออกมาดีกว่า Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ แต่อย่างไรก็ตามยอดขายบ้านมือสองต่ำกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ แต่โดยรวมเหมือนกับว่านักลงทุนมิได้ให้น้ำหนักมากนัก สะท้อนผ่านสินทรัพย์ต่างๆที่ทรงตัวไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ตลาดทองคำ ส่วนตลาดตราสารหนี้ Bond Yield ปรับลง หลังจากที่ตลาดหุ้นทั่วโลก Price In ปัจจัยบวกด้านเจรจาการระหว่างสหรัฐฯกับจีนไปแล้วทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกหมดปัจจัยหนุนและกลับมาให้น้ำหนักกับตัวเลขเศรษฐกิจจำพวกแรงงาน เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย ข้อมูลล่าสุดจาก CME FED Watch ประเมินว่าการประชุม FED ในเดือน มิ.ย. ก็จะยังคงดอกเบี้ยไว้ระดับเดิม (ความน่าจะเป็น 94.6%) และจะลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. ด้านปัจจัยในประเทศยังไม่มีอะไรใหม่ๆหลังจากที่ตลาดตอบรับ (Price In) ผลประกอบการ 1Q25 ไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตามระยะถัดไปตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยเชิงบวกชัดเจนที่จะทำให้ตลาดหุ้นฟื้นกลับมาได้อย่างแข็งแกร่ง ข้อมูลล่าสุดจาก Bloomberg Consensus คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วง 2Q25 จะขยายตัวลดลงมาอยู่ที่ 2.7%YoY และ 3Q25 จะขยายตัวเพียง 2%YoY ลดลงจาก 1Q25 ที่ 3.1%YoY สร้างจิตวิทยาเชิงลบต่อการลงทุน

เมื่อผสานกับผลประกอบการหลังจากนี้ที่น่าจะมิได้แข็งแกร่งตามทิศทางเศรษฐกิจ ทำให้ Upside หุ้นไทยยังคงจำกัดเช่นเดิม โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยลดลงอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันประเทศไทยก็ยังมิได้เจรจากับสหรัฐฯเรื่องภาษีและกำลังเข้าใกล้ช่วงโค้งสุดท้ายของการเจรจา หากท้ายที่สุดแล้วไทยเผชิญภาษีในระดับ 36% แต่ประเทศอื่นๆเผชิญภาษีที่น้อยกว่า จะยิ่งทำให้การแข่งขันของไทยลดลงกระทบกับเศรษฐกิจ ซึ่งล่าสุดวานนี้สภาอุตสาหกรรมได้รายงานกิจกรรมภาคยานยนต์ของไทยพบว่ายอดผลิต (-0.4%YoY) ยอดส่งออก (-6.3%YoY) ยอดขายในประเทศ (+1%YoY) และยอดผลิต YTD (-12%YoY) ยังคงเป็นตัวเลขที่แสดงถึงความอ่อนแอของอุปสงค์ คืนนี้รอติดตามยอดขายบ้านมือหนึ่งของสหรัฐฯ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 6.94 แสนหลังคาเรือน วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1160 – 1180 ทั้งนี้ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน แม้ตลาดหุ้นจะปรับลงมาแต่ก็ยังไม่แนะเพิ่มพอร์ตการลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐานที่กล่าวไปยังอ่อนแอ แนะนำเพียงเก็งกำไรระยะสั้นและเลือกหุ้นที่ผลประกอบการมีโอกาสถูกปรับลงน้อย อาทิ โรงแรม (MINT) เครื่องดื่ม (OSP CBG) โรงพยาบาล (BDMS)

MINT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท)
รายงานกำไรปกติใน 1Q25 อยู่ที่ 50 ล้านบาท (-98% QoQ) ใกล้เคียงกับที่เราคาด แต่สูงกว่าที่ตลาดคาด 48% โดยพลิกกลับมากำไรจากที่ขาดทุนใน 1Q24 (ไตรมาสแรกถือเป็นช่วง Low season ตามปกติของยุโรป) ถึงแม้รายได้จากธุรกิจหลักจะอ่อนตัวอยู่ที่ 3.6 หมื่นล้านบาท (-3% YoY, -12% QoQ) แต่ด้วยความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่าย และชำระหนี้ที่ดีขึ้น SG&A-to-sales ที่ 36% (-1 ppts YoY)

MTC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 48.00 บาท)
ดำเนินธุรกิจแนว Conservative เน้นควบคุมคุณภาพสินเชื่อ และรักษางบดุลแข็งแกร่ง ขณะที่การติดตามหนี้ยังทำได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง โดยมองว่า NPL ratio ไม่เกิน 2.7% และแม้ Coverage ratio (ระดับสำรองหนี้รวมต่อหนี้เสีย) จะสูงขึ้นเป็น 138% แต่มีนโยบายที่จะเพิ่มให้สูงกว่า 140% รองรับความไม่แน่นอนในอนาคต

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon