Pi Daily พรรคร่วมรัฐบาลที่เหลือประกาศเดินหน้าต่อกับเพื่อไทย ทำให้จำนวน ส.ส. ภายใต้รัฐบาลอยู่ที่ 261 เสียง ยังเกินกว่าครึ่งหนึ่งของสภา

56

มิติหุ้น – Pi Daily พรรคร่วมรัฐบาลที่เหลือประกาศเดินหน้าต่อกับเพื่อไทย ทำให้จำนวน ส.ส. ภายใต้รัฐบาลอยู่ที่ 261 เสียง ยังเกินกว่าครึ่งหนึ่งของสภา แม้อาจลดลงบ้างเพราะภูมิใจไทยถอนตัว ต่างประเทศสหรัฐฯปิดทำการเมื่อคืน หากการเมืองไม่มีอะไรรุนแรง จากนี้ตลาดอาจเริ่มไป Focus ที่ปัจจัยพื้นฐาน

ตลาดหุ้น Dow Jones และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ปิดทำการเนื่องในวัน Juneteenth

เมื่อวานที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้ออกมาแถลงขอโทษประชาชนเกี่ยวกับคลิปเสียงที่หลุดออกมาในโลก Online พร้อมกล่าวเพิ่มเติมอีกว่าได้พูดคุยกับแม่ทัพภาคที่ 2 และทางกองทัพแล้ว ซึ่งมีความเข้าใจกันดีทั้งรัฐบาลและกองทัพพร้อมผนึกกำลังสู้กับภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ พร้อมยืนยันเดินหน้าต่อไม่ยุบสภาหรือลาออก ขณะที่พรรคร่วมที่เหลืออย่างรวมไทยสร้างชาติก็ยังเดินหน้าต่อกับพรรคเพื่อไทย สอดคล้องกับประชาธิปัตย์ที่ร่วมเดินหน้ากับรัฐบาลต่อเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามด้วยพรรคภูมิใจไทยที่ถอนตัวออกไปทำให้ ส.ส. ร่วมรัฐบาลอยู่ที่ 261 เสียง (เบื้องต้น) อาจไม่สูงเท่าใดนักเพราะภูมิใจไทยมีเสียงถึง 71 เสียง (ก่อนหน้าจึงรวมกันเป็นเสียง 332 เสียง) แต่ถึงอย่างนั้น 261 เสียงก็ยังมากกว่าครึ่งหนึ่งของสภาที่ 500 เสียง แต่ก็เป็นความเสี่ยงในช่วงถัดไปกับการโหวดร่างนโยบายต่างๆ จากนี้หากสถานการณ์การเมืองไม่มีปัจจัยอะไรเข้ามากดดัน ก็เชื่อว่านักลงทุนจะกลับมาให้น้ำหนักกับทิศทางเศรษฐกิจทั้งไทยและโลก ส่วนทิศทางเศรษฐกิจไทยนั้นวานนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาออกมารายงานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมในช่วง 1 ม.ค. – 15 มิ.ย. อยู่ที่ 15.5 ล้านราย (-3.6%YoY) และยังคงเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวมาเลเซียที่เป็นอันดับแรก

โดยจีนลดลงเป็นอันดับ 2 (2 สัปดาห์ติดต่อกัน) หากเปรียบเทียบเป็นรายสัปดาห์จะพบว่า -11%WoW และมาเลเซียลดลง 34%WoW แต่จีนขยายตัวเล็กน้อย +9.6%WoW แต่อย่างไรก็ตามหากประเมินเมื่อเทียบกับปีก่อนจะลดลงค่อนข้างมากสำหรับนักท่องเที่ยวจีน ทำให้เศรษฐกิจไทยยังดูไม่แข็งแกร่งและหลังจากนี้ก็เชื่อว่าส่งออกจะค่อยๆขยายตัวลดลง จากการที่เร่งไปก่อนหน้าอย่างมีนัยยะ คืนนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญต้องติดตามโดยสัปดาห์หน้ารอดูเงินเฟ้อสหรัฐฯ (PCE) วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1055 – 1080 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนอาจเริ่มมองโอกาสสะสมบางส่วนเพราะมองตลาดหุ้นไทย Price In แรงกดดันต่างๆไปพอสมควรแต่ให้เน้นย้ำถึงการสะสมเพียงบางส่วนเท่านั้นและหุ้นที่เน้นสะสมก็ให้มองไปที่หุ้นใหญ่ที่มีความสามารถในการแข่งขันระยะยาวหรือคู่แข่งใหม่ๆเข้ามาได้ยาก อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) ค้าปลีก (CPALL BJC CRC) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) การเงิน (MTC SAWAD TIDLOR) โรงพยาบาล (BDMS)

BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท)
คาดการณ์รายได้ปี 2025 ที่เติบโตในอัตราลดลง (-2%) โดยใน 1Q25 ประกาศกำไรสุทธิที่ 4.3 พันล้านบาท (+7% YoY) ทรงตัวจากไตรมาสก่อน หนุนจาก 1) รายได้รับรู้จากโรงพยบาลและเตียงผู้ป่วยใหม่ และ 2) การเติบโตของผู้ป่วยต่างชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มตะวันออกกลาง (+22% YoY) และ CLMV (+11% YoY) ขณะที่ใน 2Q25 เรามองว่าผลประกอบการจะเติบโต YoY แม้อ่อนตัว QoQ จาก 1) ปัจจัยฤดูกาล และ 2) จำนวนผู้ป่วยต่างชาติชะลอตัวในเดือนเมษายน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบระยะสั้นจากเหตุแผ่นดินไหว ทั้งนี้ เราคาดสามารถชดเชยจากการฟื้นตัวในเดือนพฤษภาคม (+6% YoY)

KTB (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 24.50 บาท)
คาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่ 7.1% ในปี 2025 ด้วยมูลค่าพื้นฐานที่ 24.50 บาท ประเมินด้วยวิธี GGM (ROE 9.5%, Terminal growth 2%) อิง 0.7x PBV’25E ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี (2015-2024) โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวจากความท้าทายสูงขึ้นจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ และความเปาะบางของกลุ่มลูกหนี้รายย่อย และ SME ทำให้ธนาคารต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเติบโต อีกทั้ง NIM ลดลงจากวัฐจักรดอกเบี้ยลดลง แต่การควบคุมคุณภาพสินเชื่อที่ดีทำให้สามารถผ่อนคลายการตั้งสำรองหนี้ฯ ลง และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยช่วยหนุนให้สามารถรักษาการเติบโตของกำไรเติบโตได้ แม้จะเป็นการเติบโตชะลอตัวที่ 1%/2% ในปี 2025-26

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon