มิติหุ้น – ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาทำให้เกิดความกังวลว่าการค้าระหว่างสองประเทศอาจได้รับผลกระทบ โดยกัมพูชาเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 11 ของไทย ด้วยมูลค่าการส่งออกสินค้า 3.24 แสนล้านบาทในปี 67 หรือคิดเป็น 3% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในปี 67 ตามข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปกัมกูชา คือ เครื่องดื่ม, ชิ้นส่วนรถยนต์และรถจักรยานยนต์, เครื่องยนต์และเครื่องจักรกลทางการเกษตร ซึ่งมีมูลค่ารวมกันมากกว่า 30% ของยอดส่งออกโดยรวมในปี 67 ตามข้อมูลของกรมการค้าต่างประเทศ ในปี 67 ไทยเกินดุลการค้ากัมพูชา 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯตามข้อมูลของธปท. ทำให้กัมพูชากลายเป็นประเทศที่ไทยมีเกินดุลการค้ามากสุดเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐ (ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐ 3.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ)
นอกจากนี้ ไทยมีแรงงานชาวกัมพูชาเข้ามาทำงานประมาณ 1 ล้านคน ทั้งที่ลงทะเบียนอย่างถูกต้องและผิดกฎหมาย ตามข้อมูลที่ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ให้สัมภาษณ์ Bangkok Post เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.68 ดังนั้นหากแรงงานเหล่านี้เดินทางกลับประเทศตามที่อดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซนเรียกร้อง จึงมองว่าอาจกระทบกับอุตสาหกรรมบางกลุ่ม เช่น รับเหมาก่อสร้าง, อสังหาริมทรัพย์และประมง
ขณะที่ด้านการท่องเที่ยวนั้น นักท่องเที่ยวจากกัมพูชาเดินทางมาไทย 553,000 คน(553k)ในปี 67 ซึ่งคิดเป็นเพียง 1.6% ของสถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติของไทยในปี 67 จึงมองว่าผลกระทบต่อกลุ่มท่องเที่ยวน่าจะไม่มากนัก
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า สถานการณ์ไทยและกัมพูชาที่ตึงเครียดมากขึ้น จากการปิดด่านสำคัญอย่างด่านอรัญประเทศ บริษัทไทยอาจจะได้รับผลกระทบ ขณะที่เชื่อว่าหุ้นในกลุ่มที่ฝ่ายวิเคราะห์ฯศึกษานั้น CBG น่าจะได้รับผลกระทบมากสุด เนื่องจากประมาณการว่ารายได้ 28% ในปี 68 จะมาจากยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในกัมพูชา ขณะที่ BH และ MEGA น่าจะได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะคาดว่ารายได้จากกัมพูชาจะมีสัดส่วนประมาณ 6% ของรายได้ในปี 68
ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่จุดชนวนความขัดแย้งรอบใหม่ระหว่างไทยและกัมพูชาเกิดขึ้น เมื่อทหารกัมพูชาเสียชีวิตจากการปะทะกับทหารไทยในพื้นที่ทับซ้อนช่วงเช้าวันที่ 28 พ.ค.68 ตามข้อมูลของ Time Magazine จากนั้นไทยและกัมพูชาจึงมีการปิดด่านชายแดนหลายแห่งเพื่อเป็นการตอบโต้ และสถานการณ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านยิ่งตึงเครียด เนื่องจากมีคลิปเสียงนายกรัฐมนตรีของไทยหลุดออกมาก
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า ดัชนี SET ปรับตัวลงแล้ว 25% นับจากต้นปีจนถึงขณะนี้ (YTD) จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยกลายเป็น worst performer YTD โดยเชื่อว่า นักลงทุนรับรู้ความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐ, ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศและเศรษฐกิจที่ซบเซาแล้ว ปัจจุบัน SET ซื้อขายอยู่ที่ P/E 12 เท่าในปี 69 หรือประมาณ -1SD จากค่าเฉลี่ย 10 ปี โดยมองว่าหุ้น Domestic defensive และ High-yield play เป็นตัวเลือกที่ดี ดังนั้นหุ้น Top pick จึงประกอบด้วย BDMS, CPN, ERW, GULF, MTC และ PR9
โดยคาดว่า EPS ของตลาดจะเติบโต 5% yoy ในปี 68 และ 8% yoy ในปี 69 ทั้งนี้ SET อาจมี downside risk หากมาตรการภาษีของสหรัฐฯส่งผลกระทบต่อไทยมากกว่าคาด รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่วนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอาจช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon