เคส “KTC” น่าจะจบลงเรียบร้อย หลังปล่อยบอมม์ในบัญขีมาร์จิ้นโลน สร้างความหวาดเสียวให้กับโบรกเกอร์ในฐานะเจ้าหนี้ เพราะฟองสบู่ก้อนนี้ เรียกว่ามโหฬาร ลือกันในแซ่ดในวงการว่าอย่างน้อยๆ แตะระดับหลักหมื่นล้านบาท กระจายไปยังโบรกเกอร์ 9 แห่ง โดยแต่ละรายมีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหลายพันล้านบาท
เดชะบุญของตลาดหุ้นไทย ที่ฟองสบู่ก้อนนี้ไม่แตกดังโพล้ะ ไม่เช่นนั้น จะดังยิ่งกว่ากรณีของ “MORE” และจะยิ่งซ้ำเติมวิกฤตศรัทธาตลาดหุ้นไทยให้ดิ่งเหว และนั่นกลายเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คนในวงการตลาดหุ้นร่วมมือร่วมใจกันค่อยๆ ประคอง ให้ฟองสบู่ก้อนนี้ ค่อย ๆ ซอฟต์แลนด์ดิ้ง
เคสดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจโบรกเกอร์ของไทยยังมีจุดอ่อน…เปราะบางสูง เพราะหลังเกิดกรณี MORE ในวงการต่างคิดว่าโบรกเกอร์น่าจะได้บทเรียน และสร้างความตื่นตัว หาวิธีรับมือ…บลาบลาบลา…ว่า
ธุรกิจหลักทรัพย์ควรมีเครดิตบูโร… แต่ ณ วันนี้ยังไม่เกิดขึ้น หนึ่งในเหตุผล อาจเป็นเพราะโบรกเกอร์ต่างหวั่นเกรงจะสูญเสียลูกค้า
หรือแม้แต่มีการพูดว่า “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” ที่ไปกู้เงินมาซื้อหุ้นตัวเอง ควรที่จะต้องรายงานบัญชีมาร์จิ้นโลนด้วย… แต่ยังไม่เห็นว่าจะมีใครทำอะไร
“ก้องเกียรติ โอภาสวงการ” บิ๊กบอสของ บล.เอเซีย พลัส ถึงกับบ่นอุบว่า ฐานะการเงินของโบรกเกอร์ในปัจจุบันไม่ได้แข็งแรง ขาดทุนบักโกรกมาตั้งแต่ปี 67 ผลจากการคิดค่าคอมมิชชั่นที่ต่ำเฉลี่ยเพียง 0.07% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าต้นทุน เป็นระดับที่ไม่สามารถแข่งขันในเชิงธุรกิจได้ หน่วยงานกำกับโดยเฉพาะ ก.ล.ต. ควรเข้ามาดูแลปัญหาเหล่านี้โดยด่วน
“ทุกวันนี้จะหยิบจับทำอะไรเต็มไปด้วยต้นทุน ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมในการออกผลิตภัณฑ์ ค่าธรรมเนียมในการฝากหุ้น แต่คอมมิชชั่นกลับจัดเก็บในระดับต่ำกว่าต้นทุน หากเป็นแบบนี้ต่อไป ต้องมีโบรกเกอร์ล้มหาย แม้แต่การควบรวมกิจการ ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะ 1 + 1 ทุกวันนี้ได้ต่ำกว่า 2 ไม่เกิดอะไร สิ่งที่จะทำให้โบรกเกอร์อยู่รอดได้ ต้องพึ่งพิงธุรกิจอื่น มาเสริม ไม่ว่าจะเป็นWealth ธุรกิจIB ธุรกิจอินเวสท์เมนท์ เป็นต้น” ก้องเกียรติ กล่าว
กูรูในแวดวงการเงินอีกท่าน ถึงกับเตือนว่า เคส KTC อาจไม่ใช่กรณีสุดท้าย เพราะมีฟองสบู่ในหุ้นขนาดกลางและเล็ก ที่เบ่งพองรอวันแตกเร็วๆ นี้
แต่ที่น่าจับตากลับเป็นหุ้นใหญ่บิ๊กแคป บิ๊กเบิ้มมม มากมากกกก อยู่ระหว่างก่อตัว จุดสังเกตอย่างหนึ่งคือ ผู้ถือหุ้นออกมาซื้อหุ้นตัวเองหนักๆ หลักพันล้าน ในช่วงที่ผ่านมา … คำถามคือ เอาเงินมาจากไหน… ข้อสำคัญ…ซื้อเพื่ออะไรก่อนนนน… หากแหล่งเงินมาจากเงินกู้และเป็นไปเพื่อลงทุนในหุ้นตัวอื่น… ถือเป็นการลงทุน ไม่น่าหวั่นวิตกเท่ากับ … กู้เงินเพื่อมาลงทุนหุ้นตัวเอง… เพราะมักจะถูกตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นไปเพื่อพยุงราคาหุ้น…..นะ
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon