มิติหุ้น – TNITY มองกรอบหุ้นไทยครึ่งหลังปี 68 ที่ระดับ 1050-1180 จุด หากมีเหตุเซอร์ไพรส์ดัชนี 1,000 จุดรับอยู่ การเมือง-ภาษีทรัมป์ ยังเป็นปัจจัยสำคัญกำหนดทิศทางตลาดหุ้น พร้อมแนะกลยุทธ์ DCA ทองคำที่บริเวณ 3300-3120 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ มองแนวต้านทองคำโลกปลายปีนี้จะอยู่ที่บริเวณ 3,500 – 3,700 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ค่าเงินบาทมีโอกาส Rebound ในครึ่งปีหลังจับตาแนวต้าน 33-35 บาท
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นในครึ่งหลัง ปี 2568 ว่าขึ้นอยู่กับความชัดเจนของปัจจัยการเมืองภายในประเทศ และการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าต่างๆ เป็นสำคัญ ทั้งนี้ หากสุดท้ายแล้วประธานาธิบดีทรัมป์ ตัดสินใจให้เวลาประเทศคู่ค้าต่างๆในการเจรจาไปถึงวันที่ 1 สิงหาคม มองว่า Risk sentiment ทั่วโลกจะยังคงถูกประคับประคองได้อยู่ ในทางกลับกัน หากสุดท้ายแล้วสหรัฐฯไม่พอใจกับข้อตกลงการค้าที่แต่ละประเทศเสนอมา และตัดสินใจยกระดับการเก็บภาษีการค้าขึ้นสู่ระดับที่เคยประกาศไว้ จะเป็น Negative sentiment ที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นแต่ละประเทศ โดยระดับความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับอัตราภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บลดหลั่นกันไป
นายณัฐชาตกล่าวว่า หากมองไปตลอดช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ยังคงมั่นใจว่าจุดต่ำสุดเดิมของ SET Index รอบก่อนหน้านี้ที่ 1,050 จุด จะยังเป็นแนวรับสำคัญที่ไม่หลุด ตราบใดที่ภาษีศุลกากรที่ไทยถูกสหรัฐฯเรียกเก็บอยู่ในอัตราไม่เกิน 36% และพ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ยังไม่มีความเสี่ยงที่จะถูกเลื่อนการพิจารณาหรือตีตกไป แต่หากการเจรจาการค้าไม่คืบจนทำให้ไทยถูกเก็บภาษีสูงกว่า 36% หรือร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวมีความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งอาจจะด้วยรัฐบาลกลับมามีเสียงข้างน้อย มีการยุบสภาก่อน หรือมีการทำรัฐประหาร มองว่าแนวรับสำคัญของ SET Index จะถูกกดลงไปอยู่แถวระดับ 1,000 จุดได้
เสถียรภาพการเมืองล่าสุดยังไม่มีความเสี่ยงมากนัก แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินรับคำร้อง และให้นายกฯ หยุดปฎิบัติหน้าที่ แต่งานบริหารยังคงสามารถเดินหน้าต่อไป พร้อมกับครม.ชุดใหม่ มองไปข้างหน้าการเมืองอาจยังมีผลกระทบอยู่บ้าง แต่ตราบใดที่สภาฯชุดนี้ยังคงทำงานต่อไปโดยมีพ.ร.บ.งบประมาณฯเป็นที่ตั้ง มองจะเป็นเพียงลักษณะของ Noise ที่เข้ามากระทบด้าน Sentiment มากกว่า และหากยังไม่มีการยุบสภาในช่วงนี้ มองจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น เนื่องจากความดำรงอยู่ของรัฐบาลน่าจะเป็นบวกต่อการเดินทางไปเจรจาการค้ากับทางสหรัฐฯ มากกว่าในกรณีที่เป็นรัฐบาลรักษาการ มองไปข้างหน้า หากเสียงปริ่มน้ำของรัฐบาลที่ราว 260 เสียงยังคงยืนหยัดอยู่ได้ น่าจะทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลชุดนี้ยังคงพอไปได้อยู่ โดยจุดชี้ชะตาสำคัญก็คือช่วงของการโหวตกฎหมายสำคัญในสภา เช่น ร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 เป็นต้น
นายณัฐชาตกล่าวว่า จากสถานการณ์ล่าสุด ประเมินแนวโน้มการเติบโตของ GDP ปีนี้ที่ราว 2% เนื่องจากในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เศรษฐกิจไทยได้ตัวช่วยในเรื่องของภาคการส่งออกที่มีการเร่งตัว (Frontload) จากคำสั่งซื้อที่เข้ามาก่อนที่จะมีความไม่แน่นอนทางด้านภาษีการค้า ทั้งนี้ จีดีพีไทยจะโตไม่ถึง 2% นั้น จะต้องเกิดความเสี่ยงอยู่ 2 ด้าน ได้แก่
- การประกาศเก็บภาษี Reciprocal tariff ของสหรัฐฯ ต่อประเทศไทยในระดับสูง เช่น 20% ขึ้นไป ในกรณีนี้มองกลุ่มหุ้นที่จะมีความ Sensitive ได้แก่ กลุ่มหุ้นส่งออก และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น
- พัฒนาการของปัจจัยการเมืองไทยที่เป็นไปในทิศทางเชิงลบมากขึ้นจนนำมาสู่เงื่อนเวลาของพ.ร.บ.งบประมาณที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจาก ณ วันนี้ เครื่องยนต์ของเศรษฐกิจไทยแทบจะดับหมดทุกเครื่องแล้ว หากการใช้จ่ายภาครัฐยังคงขาดตอนไปอีก จะทำให้ Downside ของเศรษฐกิจไทยเปิดกว้างมากขึ้นได้ ในกรณีนี้มองกลุ่มหุ้นที่จะมีความ Sensitive ได้แก่ กลุ่มหุ้น Domestic ที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและการลงทุน เป็นสำคัญ
ประเมินกรอบการแกว่งตัวของ SET Index ในช่วงที่เหลือของปี 2568 ที่ 1050-1180 จุด ส่วนในกรณีที่มี Surprise ทั้งในฝั่ง Upside และ Downside กรอบการลงทุนอย่างกว้างจะอยู่ที่ 1000-1270 จุด คำแนะนำการลงทุน แนะนำใช้กลยุทธ์ “ขึ้นขาย – ลงซื้อ” ตามกรอบดัชนีแนวต้าน-แนวรับที่กำหนดไว้
สำหรับความคาดหวังทางด้าน Fund flow จากต่างประเทศนั้น มองเม็ดเงินจากกลุ่มกองทุน Active funds อาจจะยังยากอยู่ ในช่วงเวลาที่ปัจจัยกระตุ้นทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการเติบโตของผลกำไร ยังไม่ชัดเจนนัก แม้ Valuation ของตลาดหุ้นไทยจะอยู่ในระดับต่ำก็ตาม อย่างไรก็ดี ในฝั่งของเม็ดเงินจากกองทุน Passive funds นั้น อาจพอคาดหวังได้บ้าง หากในช่วงถัดไป ตลาดหุ้นไทยเริ่มหยุดการปรับตัว Underperform ของตนเอง เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นอื่นได้ โดยล่าสุดน้ำหนักของหุ้นไทยในดัชนี MSCI EM ได้ปรับลดลงต่ำกว่า 1% เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ทางด้านกลุ่มหุ้นแนะนำประจำไตรมาส 3 นี้ ประเมินว่าจะไม่มีอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้น และพ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 จะผ่านการพิจารณาไปได้ตาม Timeline เดิม มองไปยังกลุ่มหุ้น Domestic ที่ราคาตกลงมาแรงมีความน่าสนใจ แต่เพื่อความปลอดภัย จึงแนะนำ Selective ไปยังกลุ่มหุ้นที่มีคุณลักษณะ Defensive ไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสื่อสาร โรงพยาบาล ค้าปลีกจำเป็น และโรงไฟฟ้า เป็นต้น ทั้งนี้ เราขอเลือกผู้เล่นในแต่ละกลุ่มที่เป็น Big player ซึ่งครอง Market share ในระดับสูง มี Valuation ปัจจุบันอยู่ในโซนต่ำ นอกจากนั้นบางตัวยังเห็นการปรับเพิ่มประมาณการกำไรสวนทางกับตลาด และมี Upside potential จากราคาเป้าหมาย Consensus สูงสุดใกล้เคียงกับระดับประวัติการณ์อีกด้วย โดยสรุป หุ้น Top pick ที่เราเลือกมาสำหรับการลงทุนประจำไตรมาส 3 นี้ ได้แก่ ADVANC, BDMS, CPALL และ GULF
แนะ DCA ทองคำ แนวรับ 3300-3120 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์
ด้าน นายกมลชัย พลอินทวงษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ราคาทองคำโลกไม่ควรหลุดแนวรับที่ 3,120 แต่หากหลุดลงมา Downside จะเปิดไปที่แนวรับ $3,000 +/- ได้ แนะนำให้นักลงทุน ลงทุนแบบ DCA ที่บริเวณ $3,300-3,120 มองว่าแนวต้านของทองคำโลกปลายปีนี้จะอยู่ที่บริเวณ $3,500 – 3,700
สำหรับราคาทองคำไทย มองว่า Under-perform ทองคำโลกมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว หากจะลงทุนให้กรอบแนวรับที่ 49,000-50,000 บาท และกรอบแนวต้านที่ 54,450-56,700 บาท ทั้งนี้ หากเทียบราคาทองคำโลกเป็นทองคำไทยจะต้องพิจารณาถึงค่าเงินบาท ณ เวลานั้นด้วย
เงื่อนไขสำคัญในการฟื้นตัวของ SET50 ในครึ่งปีหลัง และแนวโน้มการ Rebound ของค่าเงินบาท
นายเดชธนา ฟางสะอาด ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า มองครึ่งปีหลังดัชนี SET50 Index มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัว และมีโอกาสกลับเข้าสู่ทิศทางขาขึ้นอีกครั้ง โดยมีสัญญาณยืนยัน คือการที่ดัชนีสามารถทะลุแนวต้านสำคัญ (Breakout) บริเวณ 740 จุด ขึ้นไปได้อย่างแข็งแกร่ง เงื่อนไขสำคัญสำหรับภาพการฟื้นตัวนี้ คือดัชนีไม่ควรสร้างจุดต่ำสุดใหม่ (New Low) ที่ต่ำกว่าบริเวณ 685 จุด เพื่อรักษากรอบ และโมเมนตัมเชิงบวก สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวหลักในระยะกลาง คาดว่าจะอยู่ในช่วง 665-805 จุด กลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้หาจังหวะเข้าซื้อ (Long) เมื่อมีสัญญาณการกลับตัวขึ้น ณ บริเวณแนวรับที่สำคัญ ทั้งนี้ คาดว่าดัชนี SET50 Index Futures จะมีทิศทางการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกัน
ด้านภาพรวมและกลยุทธ์ USD/THB: มองค่าเงินบาท (USD/THB) ในช่วงครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มที่จะเกิดการฟื้นตัวทางเทคนิค (Rebound) โดยมีโอกาสปรับตัวขึ้นเพื่อทดสอบโซนแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 34.50 – 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งหากผ่านไปได้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มการอ่อนค่าระลอกใหม่ เงื่อนไขสำคัญของภาพการฟื้นตัวนี้ คืออัตราแลกเปลี่ยนไม่ควรปรับตัวลงไปต่ำกว่าฐานแนวรับสำคัญที่บริเวณ 32.10 – 32.20 บาท สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินทิศทางค่าเงินบาท ควรพิจารณาแนวโน้มของ ดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) และราคาทองคำ ควบคู่กันไป เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของ USD/THB อย่างมีนัยสำคัญ
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon