มิติหุ้น – ในปี 2025 ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมยังเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติบางส่วนชะลอการตัดสินใจลงทุนในไทย ขณะที่นักลงทุนต่างชาติที่ต้องการขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียนยังคงเดินหน้าลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง การประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติที่มีแผนลงทุนในไทยเพื่อเป็นฐานการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ชะลอการตัดสินใจลงทุนออกไปเพื่อรอผลการเจรจาและรอความชัดเจนของอัตราภาษี ขณะที่การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะมารองรับการเติบโตของตลาดอาเซียนอย่างเช่นการตั้งศูนย์ Data center ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังพบว่าความต้องการที่ดินขนาดใหญ่เพื่อจัดตั้งโรงงานมีไม่มากเท่าในช่วงก่อนหน้าด้วยมูลค่าการลงทุนต่อโครงการที่มีแนวโน้มลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงก่อนหน้าที่มีการลงทุนขนาดใหญ่ของกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ทำให้คาดว่าในปี 2025 ยอดโอนที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมจะลดลงจากปี 2024 ที่ 4,700 ไร่ เป็น 3,000 ไร่ และพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปจะเติบโตชะลอตัวลงที่ 2%YOY จากปี 2024 ที่เติบโต 6%YOY
ความได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจะเน้นด้านที่ตั้ง, คุณภาพของโครงสร้างพื้นฐาน และความพร้อมของระบบสาธารณูปโภค โดยพื้นที่ EEC ถือเป็นพื้นที่ศักยภาพที่มีความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน, ระบบสาธารณูปโภค, ระบบโลจิสติกส์, สิทธิประโยชน์จากภาครัฐ และห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง ทำให้พื้นที่ EEC ยังคงสามารถดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติได้อีกต่อเนื่องในระยะข้างหน้าสอดคล้องกับแผนการขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ของผู้ประกอบการที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ EEC นอกจากนี้ การปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ทั้งการนำเสนอบริการด้านสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจร (Sustainable solutions) ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีภายในนิคมอุตสาหกรรม เช่น การจัดการสาธารณูปโภคอย่างมีประสิทธิภาพ, ระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ และการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรร่วมกันตามแนวคิด Industrial symbiosis จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมได้ในระยะยาว
อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมของไทยยังต้องเผชิญความท้าทายจาก 1) ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนบางกลุ่มอาจพิจารณาลงทุนในประเทศอื่นที่มีอัตราภาษีต่ำกว่า 2) นโยบายส่งเสริมการลงทุนของประเทศอาเซียน ที่มีโอกาสดึงดูดนักลงทุนให้พิจารณาทางเลือกอื่นนอกจากไทย 3) รูปแบบการเข้ามาลงทุนที่มีแนวโน้มเป็นการจัดตั้งโรงงานผลิตบางชิ้นส่วนของ Supply chain มากกว่าการย้ายฐานการผลิตเต็มรูปแบบ 4) ความเปราะบางของสถานภาพการเมืองไทยที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และ 5) การปรับเปลี่ยนนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ เช่น การปรับเงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์การลงทุนเพื่อป้องกันการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตขั้นสุดท้ายสำหรับหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี รวมถึงการตั้งอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญที่ไทยได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจน้อย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีแนวโน้มกดดันความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมและพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปให้เช่าในไทยในระยะข้างหน้า
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon