
มิติหุ้น – “บมจ.ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น” หรือ SINO ประเมินแนวโน้มอุตสาหกรรมขนส่งสินค้าระหว่างประเทศช่วงที่เหลือของปีนี้มีดีมานด์ต่อเนื่อง หลังพบผู้นำเข้าสินค้าในสหรัฐฯ มองไทยได้เปรียบเชิงการแข่งขันในการส่งออก หลังจากได้ข้อสรุปอัตราภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ ที่ 19% กางแผนขยายธุรกิจบริการ Air Freight หลังปิดดีลเข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท เอ.เอส. โลจิสติคส์ จำกัด เตรียมเสริมทีมขายเพื่อขยายฐานลูกค้า วางแผนลงทุนขยายคลังสินค้าใหม่ในจังหวัดสมุทรปราการ และจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในอินโดนีเซีย มุ่งสู่ผู้นำบริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศครบวงจรระดับภูมิภาค
นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SINO เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าทางทะเลบนเส้นทางไทย-สหรัฐอเมริกา 6 เดือนแรกของปีนี้ ได้รับผลกระทบเชิงบวกและลบจากความไม่แน่นอนของการปรับขึ้นอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐฯ โดยเกิดการเร่งนำเข้าสินค้าในไตรมาสแรกที่ผ่านมา หลังจากสหรัฐฯ ประกาศปรับขึ้นอัตราภาษีพื้นฐาน 10% กับทุกประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2568 อย่างไรก็ตาม การขนส่งสินค้ากลับมาชะลอตัวเล็กน้อยในครึ่งเดือนหลังของเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เนื่องจากกังวลต่อความไม่แน่นอนของการปรับขึ้นอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่เริ่มมีตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 ขณะที่แนวโน้มภาพรวมธุรกิจขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าทางทะเลบนเส้นทางไทย-สหรัฐฯ ช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะมีดีมานด์ต่อเนื่อง หลังจากได้พบกับผู้นำเข้าสินค้าที่สหรัฐฯ เนื่องจากอัตราภาษีฯ ของไทย-สหรัฐฯ ที่ 19% ต่ำกว่าเวียดนามเล็กน้อยและเท่ากับมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกหลักในอาเซียน รวมถึงไทยใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) เป็นส่วนใหญ่ จึงมีความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน
ทั้งนี้ บริษัทฯ วางแผนขยายการลงทุนในครึ่งปีหลัง เพื่อมุ่งสู่ผู้นำธุรกิจบริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศครบวงจรระดับภูมิภาค และปรับพอร์ตรายได้ในปัจจุบันที่มาจาก 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1) กลุ่มธุรกิจบริการ Sea Freight (ขนส่งสินค้าทางทะเล) ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้หลักกว่า 90% 2) กลุ่มธุรกิจบริการ Air Freight (ขนส่งสินค้าทางอากาศ) จะมุ่งเพิ่มสัดส่วนรายได้เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากธุรกิจ Sea Freight ในอนาคต และ 3) กลุ่มธุรกิจบริการสนับสนุนงานบริการโลจิสติกส์ เช่น คลังสินค้าให้เช่า เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นและสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต
ล่าสุด คณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ ได้อนุมัติให้บริษัท เอสเอ็นซี คาร์โก้ เซอร์วิสเซส จำกัด (SNC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SINO เข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท เอ.เอส. โลจิสติคส์ จำกัด (A.S. Logistics) ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติไทยที่ดำเนินธุรกิจบริการ Air Freight Forwarder โดยใช้งบลงทุน 35 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจและทำให้ SINO มีต้นทุนการบริการ Air Freight ลดลง โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากบริษัท เอ.เอส. โลจิสติคส์ จำกัด ตั้งแต่เดือน กันยายน 2568 โดยทีมผู้บริหารชุดเดิมของบริษัท เอ.เอส. โลจิสติคส์ จำกัด จะบริหารงานต่อไป ขณะเดียวกัน จะยกระดับธุรกิจของ SNC ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบิน หรือ Cargo General Sales Agent (GSA) เพื่อขายระวางสินค้าแก่ Freight Forwarder โดยตั้งเป้าหมายว่าในปี 2569 กลุ่มธุรกิจ Air Freight จะทำรายได้กว่า 200 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3% ของรายได้จากการบริการรวม และจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 5% ของรายได้จากการบริการรวมใน 3-5 ปีข้างหน้า
นายสิทธิกร ทับเที่ยง ตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ.เอส. โลจิสติคส์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญการดำเนินธุรกิจบริการ Air Freight Forwarder กว่า 38 ปี โดยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบินกว่า 5 สายการบิน ครอบคลุมเส้นทางในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐฯ โดยปัจจุบันมีฐานลูกค้ากว่า 80 ราย ขณะที่การเข้ามาถือหุ้นของ SINO จะเพิ่มศักยภาพขยายธุรกิจและฐานลูกค้า ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์ภาพรวมอุตสาหกรรมขนส่งสินค้าทางอากาศปี 2568 – 2569 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของธุรกิจการบินและการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศ ส่งผลดีต่อพื้นที่ระวางสินค้าที่จะเพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ จะเพิ่มทีมงานฝ่ายขายเพื่อขยายฐานลูกค้าและทำโรดโชว์ให้ข้อมูลกับสายการบินต่างๆ ภายใต้การสนับสนุนจาก SINO ซึ่งคาดว่าจะทำให้บริษัทฯ มีรายได้ 100 ล้านบาทในปี 2568 และเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านบาทในปี 2569
นายนันท์มนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการลงทุนขยายธุรกิจบริการ Air Freight บริษัทฯ ได้วางแผนขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ SINO Worldwide เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยหลังจากร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ในมาเลเซียจัดตั้งบริษัท Sino Worldwide Logistics SDN. BND และสำนักงานที่ประเทศมาเลเซียในปี 2567 โดย SINO ถือหุ้น 51% เพื่อสนับสนุนแผนการเพิ่มปริมาณขนส่งสินค้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 800 ตู้ต่อเดือนในครึ่งปีหลังของปี 2568 จากเฉลี่ย 700 ตู้ต่อเดือนในครึ่งปีแรก ส่วนในประเทศเวียดนาม บริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัท Sino Worldwide Vietnam Co.,Ltd และสำนักงานเมื่อเดือนเมษายน 2568 โดย SINO ถือหุ้น 60% ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณขนส่งสินค้าเฉลี่ย 250 ตู้ต่อเดือนในครึ่งปีหลังของปี 2568 นอกจากนี้ จะจัดตั้งบริษัทร่วมทุนและสำนักงานที่อินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 2 ปี 2569
ขณะที่ธุรกิจบริการสนับสนุนงานบริการโลจิสติกส์ SINO เตรียมเปิดบริการคลังสินค้าปลอดอากร (Free Zone) พื้นที่เกือบ 6,000 ตารางเมตร ภายในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ในเดือนตุลาคม 2568 ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่คลังสินค้ารวมเป็นกว่า 33,000 ตารางเมตร และวางแผนลงทุนคลังสินค้าปลอดอากรแห่งใหม่ในจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อกระจายทำเลและขยายพื้นที่คลังสินค้ารวมเป็น 50,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างลงทุนเทคโนโลยีดิจิทัลภายใต้ชื่อโครงการ VOYA ประกอบด้วย 1) การพัฒนาและติดตั้งระบบ Freight Cloud System เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความรวดเร็วแม่นยำของการบริหารกระบวนการขนส่งสินค้า รวมถึงติดตามสถานะแบบเรียลไทม์ และ 2) ติดตั้งระบบ SAP S4/HANA ซึ่งเป็นระบบ ERP อันดับหนึ่งของโลก เพื่อบริหารงานบัญชีและการเงิน เพิ่มประสิทธิภาพด้านความถูกต้อง โปร่งใส และการตรวจสอบที่เป็นระบบ
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon