พ.ร.บ.โลกร้อน จ่อสร้างอาชีพใหม่-ปัญหาขาดแคลนแรงงานสิ่งแวดล้อม 50,000 ตำแหน่ง GCC จับมือ 2 สถาบันการศึกษา พัฒนาหลักสูตรปั้นบุคลากร

16

มิติหุ้น – “พ.ร.บ.โลกร้อน” จ่อสร้างอาชีพใหม่หลากหลายกลุ่ม ตอบโจทย์ทั้งการจัดการและซื้อขายคาร์บอนเครดิต-การตรวจสอบและทวนสอบรายงานก๊าซเรือนกระจก ที่ปรึกษาและนักวิเคราะห์ หวั่นแรงงานสายสิ่งแวดล้อมขาดแคลนตามรอยต่างประเทศรวมกว่า 50,000 ตำแหน่งใน 3 ปี หลังกฎหมายบังคับใช้เป็นทางการ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ตรวจสอบและทวนสอบ ด้านโกลบอล คาร์บอน คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าจับมือ 2 สถาบันการศึกษา พัฒนาหลักสูตร ป.ตรี ด้านสิ่งแวดล้อม ปั้นบุคลากรตอบโจทย์ตลาด พร้อมจัดหลักสูตรระยะสั้น เพิ่มพูนความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมให้องค์กรต่างๆ ต่อเนื่อง

นายตรีเทพ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลบอล คาร์บอน คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ GCC เปิดเผยว่า การบังคับใช้ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (พ.ร.บ.โลกร้อน) ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทยในปี 2569 นี้ จะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การทำงานสายสิ่งแวดล้อม สร้างอาชีพใหม่ และทำให้เกิดความต้องการบุคลากรด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล ทั้งในระดับผู้ปฏิบัติการและระดับผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะใน 4 กลุ่มงานหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มงานพัฒนาความยั่งยืนองค์กร เช่น เจ้าหน้าที่พัฒนาความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เจ้าหน้าที่พัฒนาความยั่งยืนด้านสังคม เจ้าหน้าที่พัฒนาความยั่งยืนด้านธรรมาภิบาลซึ่งในปัจจุบันหลายบริษัท โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทมหาชนเริ่มมีการเปิดตำแหน่งดังกล่าวเพื่อรับคนเข้าทำงานมาพักใหญ่แล้ว 2.กลุ่มที่ปรึกษาและนักวิเคราะห์ด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก เช่น ที่ปรึกษาด้านการประเมินก๊าซเรือนกระจก ที่ปรึกษาความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อออกแบบมาตรการในการลดผลกระทบ (Mitigation) และรับมือ (Adaptation) เจ้าหน้าที่โครงการพลังงานหมุนเวียน นักวิเคราะห์ด้านความยั่งยืน 3.กลุ่มงานตรวจสอบและทวนสอบรายงานการประเมินก๊าซเรือนกระจก Validator หรือ Verifier ซึ่งทำหน้าที่คล้ายคลึงกับ Audit ของฝั่งบัญชี แต่เปลี่ยนมาทำหน้าที่ตรวจสอบรายงานก๊าซเรือนกระจกหรือสิ่งแวดล้อมให้แก่บริษัทต่างๆ โดยตรง และ 4. กลุ่มงานการจัดการและซื้อขายคาร์บอนเครดิต เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจวัดบัญชีคาร์บอนเพื่อการลด และชดเชย ผู้จัดการด้านการซื้อขายคาร์บอนเครดิต

“เราประเมินว่า ตลาดแรงงานไทยจะต้องการบุคลากรในสายสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นกว่า 50,000 ตำแหน่งในช่วง 3 ปีข้างหน้า และจะมีหลายตำแหน่งงานที่จะประสบปัญหาบุคลากรขาดแคลน เช่น ผู้ตรวจสอบ หรือ Validator ผู้ทวนสอบ หรือ Verifier เพราะนิติบุคคลในไทยกว่า 800,000 รายทั่วประเทศ จะต้องทำการประเมิน บันทึกการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์และจัดทำรายงาน โดยมีทั้งที่ปรึกษา ผู้ตรวจสอบและผู้ทวนสอบเข้ามาดูแลทุกปี ขณะที่จำนวนบุคลากรที่ได้รับใบอนุญาตในไทยปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาซึ่งมีเพียง 530 กว่าคน (ทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล) ผู้ตรวจสอบ ผู้ทวนสอบมีเพียงระดับ 100 กว่าคน บริษัทผู้ตรวจสอบและผู้ทวนสอบ หรือ VB (Verification Body) VVB (Validation & Verification Body )ในไทยที่ได้รับการรับรองมีประมาณ 20 กว่าบริษัทเท่านั้น บางบริษัทมีบุคลากรเพียงพอทั้งทำหน้าที่ตรวจสอบและทวนสอบได้เพื่อรองรับกรณีโครงการ T-VER บางบริษัททำหน้าที่ได้เพียงการทวนสอบเพื่อประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกองค์กร (CFO) และก๊าซเรือนกระจกผลิตภัณฑ์ (CFP) เท่านั้น” นายตรีเทพ กล่าว

สถานการณ์ดังกล่าว คล้ายคลึงกับหลายประเทศที่บังคับใช้กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้นแล้ว เช่น บางประเทศในกลุ่มอียู ในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือสิงค์โปร์ ที่ประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรในสายงาน ที่ปรึกษา (GHG Consult) ผู้ตรวจสอบและทวนสอบ (Validator & Verifier) ส่งผลให้เกิดการกระจุกตัวของการดำเนินการตลอดกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ต่อนิติบุคคลต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มนิติบุคคลที่ยังคงมีการดำเนินธุรกิจต่อเนื่องสูงสุด 10 อันดับแรก และโฟกัสลงไปเฉพาะประเภทธุรกิจที่ส่งผลต่อการสร้างก๊าซเรือนกระจก หรือ Green House Gas ซึ่งมีประมาณ 140,000 กว่าราย อาทิ ธุรกิจก่อสร้างทั่วไป ธุรกิจร้านอาหารภัตตาคาร ธุรกิจการผลิตขายส่งอุปกรณ์เครื่องจักร ธุรกิจขนส่งขนถ่ายสินค้า ธุรกิจโรงแรมและห้องชุด ตลอดจนการประเมิน การจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกและการตรวจสอบทวนสอบ เพื่อหาแนวทางในการลดก๊าซเรือนกระจกเหล่านั้น ซึ่งแน่นอนว่า หากประเทศไทยปรับเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ หรือ Net Zero จากปี 2065 มาเป็นปี 2050 เร็วขึ้นจากเดิม 15 ปี การเริ่มต้นดำเนินการที่สำคัญที่สุดคือ ต้องรู้ก่อนว่าแต่ละนิติบุคคลนั้นๆ ปล่อยคาร์บอนเท่าไรเพื่อนำไปสู่แผนการลด ซึ่งหากบุคลากรในกระบวนการต่างๆเหล่านี้มีไม่เพียงพอ ย่อมนำมาซึ่งความล่าช้า จนเป็นเหตุนำพาประเทศไปสู่เป้าหมายไม่ได้อย่างที่ภาครัฐคาดหวัง

นายตรีเทพ กล่าวอีกว่า เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว GCC จึงร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น ในการพัฒนาหลักสูตรระดับปริญญาตรี การศึกษาสาขาวิทยาการจัดการนวัตกรรมทางธุรกิจ / การจัดการธุรกิจแบบบูรณาการ ระดับชั้นปี ที่ 3-4 คณะบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ เกี่ยวกับ Carbon Footprint – Net Zero เพื่อปลูกฝังและสร้างองค์ความรู้ให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม รู้และเข้าใจในกระบวนการเพื่อประเมินและลดก๊าซเรือนกระจกภาพรวม ซึ่งมุ่งสร้างบุคลากรที่มีทั้งทักษะวิชาการและความเข้าใจเชิงปฏิบัติจริง เพื่อพัฒนาบุคลากรในสายงานนี้ ทั้งในอาชีพ ที่ปรึกษาการจัดการก๊าซเรือนกระจก (GHG Consult) ผู้ตรวจสอบ ผู้ทวนสอบก๊าซเรือนกระจก (Validator & Verifier) และอื่นๆ เพื่อบรรเทาปัญหาความขาดแคลนบุคลากร สร้างระบบนิเวศด้านการศึกษาและการทำงานด้านสิ่งแวดล้อม โดยคาดว่าจะผลิตบุคลากรได้กว่า 300 คนต่อปี

“การสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้กับประเทศไทยในการเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพราะบุคลากรเหล่านี้จะเป็นผู้เชื่อมต่อระหว่างกฎหมาย มาตรการ และการปฏิบัติจริงในทุกภาคส่วน ทั้งภาคธุรกิจ ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดย GCC มองว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพแรงงานไทยให้พร้อมแข่งขันกับระดับสากล” นายตรีเทพ กล่าว

ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยทั้ง 2 แห่ง เดินหน้าบรรเทาปัญหาระยะสั้น ด้วยการจัดหลักสูตรเร่งรัดระยะสั้น ภายใต้ “GCC – RMUTT – RMUTI Academy” เป็นหลักสูตรทั้งแบบเร่งรัด 1 วัน และหลักสูตรแบบเจาะลึก 2 วัน อย่างต่อเนื่อง เพื่ออบรมยกระดับองค์ความรู้ ด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดการก๊าซเรือนกระจก การบันทึกและรายงานก๊าซเรือนกระจกที่ถูกต้อง ให้แก่องค์กร นักศึกษา และประชาชนผู้สนใจทั่วไป พร้อมรองรับความเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.gcc.co.th/company-profile/ourservice/courseTraining หรือ www.facebook.com/globalcarboncorporation

สำหรับ โกลบอล คาร์บอน คอร์ปอเรชั่น จัดตั้งขึ้นมาโดยมีเป้าหมายในการให้บริการจัดการก๊าซเรือนกระจกทั้งช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนกฎหมายบังคับใช้ และหลังจากกฎหมายถูกบังคับใช้ไปแล้ว โดยมีทีมงานและบุคลากรที่มีประสบการณ์ในแวดวงความยั่งยืนองค์กร พร้อมช่วยจัดทัพให้ทุกองค์กร ทั้งในส่วนงานที่ปรึกษา (GHG Consult) ให้คำแนะนำตั้งแต่ต้นน้ำเพื่อให้รู้ว่าองค์กรปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าใด ไปจนถึงให้คำแนะนำในการลดก๊าซเรือนกระจกผ่านบริการต่างๆ อาทิ คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (CFO), คาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ (CFP), คาร์บอนฟุตพริ้นท์จากการจัดงานอีเว้นท์ (CF-Event), โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานประเทศไทยเพื่อการได้มาซึ่งคาร์บอนเครดิต (T-VER), โครงการส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก (LESS) ส่วนงานฝึกอบรม (GHG Academy) ส่วนงานทวนสอบ (Validation & Verification Body) ส่วนงานเทคโนโลยีเพื่อจัดการก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint Platform) และส่วนงานรับซื้อ-จำหน่ายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Broker) พร้อมช่วยเหลือองค์กรที่ต้องการปรับตัวเพื่อรับมือทั้งผลกระทบจากมาตรการ CBAM และกฎหมายใหม่ที่จะบังคับใช้ในปี 2569 นี้

ที่มาข้อมูลอ้างอิง :
https://www.dbd.go.th/common-article/24
https://thaicarbonlabel.tgo.or.th/index.php?lang=TH&mod=YUc5dFpRPT0

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon