“แบงก์” เผชิญท้าทายรอบใหญ่ สินเชื่ออ่อนกำลัง-NIMถดถอย  

166

มิติหุ้น –   ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่าจากข้อมูลงบการเงินไตรมาส 3/68 ของกลุ่มแบงก์ (9 แห่ง) ที่จดทะเบียนใน SET สะท้อนว่า กลุ่มแบงก์ยังสามารถประคองผลการดำเนินงานไว้ได้ แม้รายได้จากธุรกิจหลักยังคงอ่อนแอ โดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวมที่ขยายตัวแบบไม่ทั่วถึง ยังคงเป็นสภาพแวดล้อมที่ท้าทายการประคองรายได้ของของกลุ่มแบงก์

 

โดยเฉพาะรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ซึ่งปรับตัวลงมาแล้ว 5 ไตรมาสติดต่อกัน (นับตั้งแต่ไตรมาส 3/67-ไตรมาส 3/68) อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า กำไรจากเงินลงทุนและกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVTPL) ปรับเพิ่มสูงขึ้น และ มีส่วนช่วยหนุนผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งตลอดหลายไตรมาสที่ผ่านมา โดยล่าสุดในไตรมาส 3/68 รายการกำไรจากเงินลงทุน และ FVTPL ขยับขึ้นไปสูงกว่า 3 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 22.4% ของกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ

นอกจากนี้ รายได้ค่าธรรมเนียมบางรายการ เช่น ค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ธุรกิจการจัดการกองทุน และ ค่าธรรมเนียมการให้บริการด้าน Wealth Management ที่ได้รับอานิสงส์จากสภาวะตลาดเงินตลาดทุนที่เอื้ออำนวย ก็มีส่วนช่วยเพิ่มแรงหนุนต่อผลการดำเนินงานด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม สินเชื่อหดตัวลงต่อเนื่อง และ ภาพรวมของ NIM กลุ่มแบงก์ยังชะลอลง โดยยอดคงค้างสินเชื่อจากงบการเงินรวม 9 แห่ง ณ ไตรมาส 3/68 หดตัวลง 1.2% YoY เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ต่อเนื่องจากที่หดตัว 1.7% YoY ในไตรมาส 2/68 โดยนอกจากภาพรวมสินเชื่อจะได้รับแรงกดดันจากผลของการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ และ การระมัดระวังความเสี่ยงด้านเครดิตในการปล่อยสินเชื่อใหม่ของสถาบันการเงินแล้ว ความต้องการเบิกใช้สินเชื่อของภาคธุรกิจเพื่อลงทุนในระยะยาวก็ปรับตัวลดลงตามสัญญาณการฟื้นตัวล่าช้า และ ความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจไทยด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ผลจากสถานการณ์สินเชื่อที่อ่อนแอ เมื่อรวมเข้ากับผลของการทยอยปรับลดดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนต.ค. 67 และ การช่วยเหลือลูกหนี้ที่เข้าโครงการคุณสู้เราช่วย ทำให้ผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อ (Yield on Loans) ปรับลดลงเร็วกว่าต้นทุนทางการเงิน (Funding Cost) ซึ่งสะท้อนผ่านการชะลอตัวของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin: NIM) ที่ปรับลดลงมาแล้ว 4 ไตรมาสติดต่อกัน โดย NIM ในไตรมาส 3/68 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.18% จาก 3.22% ในไตรมาสที่ 2/68

 

ทางด้านปัญหาคุณภาพสินเชื่อยังคงต้องการการดูแลต่อเนื่อง แม้ว่าสัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ NPL ratio ตามข้อมูลงบการเงินรวมของธนาคารพาณิชย์ 9 แห่ง ขยับสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยมาที่ 3.18% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 3/68 จากระดับ 3.16% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 2/68 แต่สินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิต หรือ Stage 2 ratio ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงประมาณ 7.38% ของสินเชื่อรวมในไตรมาสที่ 3/68 สะท้อนว่า คุณภาพของพอร์ตสินเชื่อยังมีความเสี่ยงที่จะด้อยลงในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะหากแนวโน้มเศรษฐกิจและรายได้ภาคครัวเรือนยังไม่ฟื้นกลับมาเป็นปกติ และ มีผลกระทบต่อเนื่องต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้

สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปี 68 สถานการณ์ยังท้าทาย โดยจากข้อมูลงบการเงินรวมของธนาคารพาณิชย์และบริษัทย่อย 9 แห่งที่มีสัญญาณอ่อนแอดังกล่าวข้างต้น สะท้อนว่า ข้อมูลสถานการณ์ภาพรวมของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย 17 แห่ง (ระบบแบงก์ไทย) ที่จะทยอยรายงานตามมาคงจะให้ภาพที่คล้ายคลึงกัน และ เมื่อต่อภาพไปในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 68 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า แรงกดดันด้านค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มสูงขึ้นตามปัจจัยด้านฤดูกาล และ ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งน่าจะกลับมามีแนวทางการตั้งสำรองฯ ที่ระมัดระวังเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจไทย ซึ่งอาจได้รับผลกระทบมากขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ

 

ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นโจทย์ที่ท้าทายต่อการประคองผลการดำเนินงานของระบบแบงก์ไทย โดยเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียมบางตัวที่ต้องพึ่งพาสภาวะที่เอื้อของตลาดการเงิน รวมไปถึงรายได้จากธุรกิจหลักอย่างการปล่อยสินเชื่อ และ เมื่อรวมกับผลของทิศทางดอกเบี้ยในประเทศที่มีโอกาสปรับลดลงอีกก่อนสิ้นปี

 

อาจทำให้ NIM ของระบบแบงก์ไทยชะลอลงไปอยู่ต่ำว่าระดับ 2.72% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 68 (เทียบกับตัวเลขคาดการณ์ NIM ของระบบแบงก์ไทยในไตรมาส 3/68 ที่ 2.80% และตัวเลขจริงของ NIM ในไตรมาส 2/68 ที่ 2.84%)

 

ขณะที่คาดว่า อัตราส่วนค่าใช้จ่ายสำรองต่อสินเชื่อ (Credit Cost) ของระบบแบงก์ไทยน่าจะยังอยู่ในระดับสูงกว่าปกติ และ ปิดปี 68 ที่ระดับประมาณ 1.27% ใกล้เคียงกับปี 67 ซึ่งทิศทางเหล่านี้ ทำให้โจทย์หลักของแบงก์จะกลับมาเป็นเรื่องของการบริหารจัดการต้นทุนส่วนอื่นๆ เฉพาะหน้า เพื่อประคองความสามารถในการทำกำไรในช่วงดอกเบี้ยขาลงนี้

 

สินเชื่อซบเซา – ดอกเบี้ยขาลง 

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ผลประกอบการ Q3/68  ดีกว่าคาดมาก  ธนาคารทั้ง7 แห่งที่ ฝ่ายวิจัยฯ วิเคราะห์มีกำไรสุทธิ รวม 62.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น+11.6% y/y และ +10.4% q/q ซึ่งดีกว่าที่เราและตลาดคาดการณ์ไว้เกือบทั้งหมด และเกือบทุกธนาคารมีกำไรเติบโตทั้งเมื่อเทียบ y/y และ q/q

รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) เป็นปัจจัยหนุนหลักของการเติบโต – รายได้ค่าธรรมเนียม และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย(Non-NII) ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะกำไรจากตีมูลค่ายุติธรรมเงินลงทุนผ่านงบกำไรขาดทุน (FVTPL) และกำไรจากการลงทุน ซึ่งได้รับแรงหนุนจากภาวะตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรที่เอื้ออำนวยใน Q3/68

ธุรกิจปล่อยสินเชื่อยังคงซบเซา – สินเชื่อธนาคารยังหดตัวใน Q3/68  และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ลดลงซึ่งเป็นไปตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลง รวมถึงโครงการปรับโครงสร้างหนี้ ส่วนการตั้งสำรอง ECL ยังอยู่ในระดับสูงเพื่อรองรับความไม่แน่นอนในอนาคต

คาดกำไรสุทธิ Q4/68 F จะอ่อนลง q/q จากรายได้ที่ลดลงและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น – เราคาดว่ากำไรสุทธิ 4Q25F จะลดลงเมื่อเทียบกับ Q3/68  เนื่องจากกำไรจากFVTPL และกำไรจากการลงทุนมีแนวโน้มลดลง เพราะภาวะตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรตั้งแต่ต้น Q4/68  ดูไม่เอื้ออำนวยเท่ากับ Q3/68  อย่างไรก็ตาม คาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียม จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากธุรกิจ wealth management ด้านสินเชื่อมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามฤดูกาล แต่ NIM มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานใน Q4/68  จะสูงขึ้น ซึ่งเป็นปกติของทุกปี

เชื่อว่าต้นทุนเครดิตยังอยู่ในระดับสูงต่อ – แม้ ว่า NPL ratio ยังอยู่ในระดับบริหารจัดการได้ แต่เราคาดว่าต้นทุนเครดิต (credit cost) จะยังอยู่ในระดับสูง แม้จะลดลงจากปีก่อนก็ตาม

คงให้น้ำหนักลงทุนกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็น “Neutral” โดยให้ KKP และ SCB เป็น Top Picks – ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ธนาคารส่วนใหญ่ยังคงเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ ขณะที่ภาคธุรกิจเอกชนยังลังเลที่จะลงทุนและหันไปชำระหนี้แทน ดังนั้นสินเชื่อในปี 25F จะยังหดตัว และ NIM ลดลง ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) อ่อนลง แต่ คาดว่ากำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารโดยรวมจะเติบโต +4.0% y/y โดยได้รับแรงหนุนหลักจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย(Non-NII) อย่างไรก็ดี TISCO และTTB จะมีกำไรลดลงจากต้นทุนเครดิตที่สูงขึ้นและ NIM ที่ลดลง

อย่างไรก็ตาม กลุ่มธนาคารยังได้รับการสนับสนุนจากคุณภาพสินทรัพย์ที่บริหารจัดการได้ อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูง และ valuation น่าสนใจ ทั้งนี้ KKP และ SCB เป็นหุ้น Top Picks เนื่องจากมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในระดับดี และให้เงินปันผลที่น่าดึงดูดใจ

 

 

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon