
มิติหุ้น – กรุงเทพฯ (18 พฤศจิกายน 2568) – ฮั่วเซ่งเฮง ชี้รัฐบาลสหรัฐฯ ยุติชัตดาวน์ ไม่ได้แปลว่าวิกฤตจบ หวั่นผลกระทบทางเศรษฐกิจตามมา ทั้ง GDP ที่อาจหดตัวลง และหนี้สาธารณะที่ยังน่าเป็นห่วง พร้อมจับตาความไม่แน่นอนของข้อมูลเศรษฐกิจที่อาจกระทบต่อการตัดสินใจลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และสัญญาณการปลดพนักงานครั้งใหญ่จาก AI ที่เริ่มชัดเจนขึ้น แนะนำนักลงทุนจับตาปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิด หากตัวเลขเศรษฐกิจไม่ดี อาจดันราคาทองคำพุ่งไปแตะจุดสูงสุดเดิมที่ 4,381 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หรือประมาณ 67,000 บาทต่อบาททองคำ
นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาทองคำและผลกระทบทางเศรษฐกิจหลังยุติการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (Government Shutdown) ว่า แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเมื่อค่ำวันพุธที่ 12 พ.ย. 68 (ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ) เพื่อยุติภาวะชัตดาวน์ที่ยาวนานกว่า 43 วัน แต่ผลกระทบระยะสั้นและระยะกลางต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงราคาทองคำ ยังเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
นายธนรัชต์ กล่าวว่า การยุติการชัตดาวน์ครั้งนี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากงบประมาณชั่วคราวครอบคลุมเพียง 3 ใน 12 ส่วนที่สภาคองเกรสต้องอนุมัติ และมีกำหนดจะสิ้นสุดในวันที่ 30 ม.ค. 69 ซึ่งหมายความว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะชัตดาวน์ขึ้นอีกครั้ง หากสภาคองเกรสยังไม่สามารถอนุมัติงบประมาณส่วนที่เหลือได้
ชี้ผลกระทบ หลังชัตดาวน์ ‘GDP หดตัว – หนี้พุ่ง’
นายธนรัชต์ ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยหลักที่ยังสนับสนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้สหรัฐฯ จะกลับมาเปิดทำการ คือผลกระทบทางเศรษฐกิจ (Economic Aftereffects) ที่ตามมา โดยสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศที่แท้จริง (Real GDP) จะลดลง 7 พันล้านดอลลาร์ ในกรณีที่ปิดหน่วยงานสี่สัปดาห์ และเพิ่มเป็น 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อปิดหน่วยงานนาน 42 วัน
“นอกจากนี้ ตัวเลขขาดดุลประจำปีงบประมาณ 2025 ที่ CBO ประเมินไว้สูงถึง 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ ซึ่งสะท้อนแนวโน้มว่าหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ อาจเพิ่มขึ้นในระดับใกล้เคียงกัน จากระดับปัจจุบันที่ทะลุ 38 ล้านล้านดอลลาร์ ความเสี่ยงทางการคลังและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นปัจจัยบวกสำคัญต่อราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย” นายธนรัชต์ กล่าว
ความไม่แน่นอนของ Fed และแรงสั่นสะเทือนจาก AI
นายธนรัชต์ กล่าวถึงความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ว่า การชัตดาวน์ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญบางส่วน เช่น รายงานการจ้างงานและดัชนีราคาผู้บริโภคประจำเดือนตุลาคม อาจมีความล่าช้าหรือไม่ถูกเผยแพร่ ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่แน่นอนว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้หรือไม่
“ความไม่แน่นอนของข้อมูลและภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว ทำให้โพลสำรวจ CME FedWatch Tool ปรับลดคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมเหลือเพียง 43.6% ซึ่งลดลงอย่างมากจากเดิมที่ 88.2% ในเดือนก่อน และปรับเพิ่มคาดการณ์การคงดอกเบี้ยเป็น 56.4%” (ข้อมูล ณ วันที่ 17 พ.ย. 68)
ที่น่าสนใจคือ ข้อมูลที่มีอยู่บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานกำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่จาก ‘คลื่นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)’ โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีการปลดพนักงานกว่า 153,000 ตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี และยอดผู้ถูกเลิกจ้างสะสมตลอดทั้งปีทะลุ 1 ล้านราย ซึ่งสถานการณ์นี้สะท้อนถึงแรงกดดันทางเศรษฐกิจและความเปราะบางในตลาดแรงงานอย่างชัดเจน
คาดทองคำ จ่อทดสอบ ‘67,000 บาท’ อีกครั้ง
ฮั่วเซ่งเฮง ประเมินแนวโน้มราคาทองคำระยะสั้นว่า ยังคงต้องติดตามการแถลงการณ์ของประธาน Fed เกี่ยวกับมุมมองการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะเริ่มกลับมาเผยแพร่ได้ตามปกติ ซึ่งหากผลออกมาไม่ดี ก็อาจส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปทดสอบใกล้จุดสูงสุดเดิมที่ 4,381 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หรือประมาณ 67,000 บาท (คำนวณจากค่าเงินบาท 32.30 บาท)
“ในทางกลับกัน หากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีกว่าที่คาด ก็ต้องระวังแรงเทขายทำกำไรที่อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน โดยจุดที่น่าสะสมระยะกลางยังอยู่ที่บริเวณ 3,870 – 3,900 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หรือราคาทองคำแท่งประมาณบาทละ 59,100 – 59,600 บาท (คำนวณจากค่าเงินบาท 32.30 บาท) นักลงทุนจึงควรติดตามข่าวสารเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดและบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม” นายธนรัชต์ กล่าวสรุป
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon

































