Chevron เปิดมุมมองการใช้ AI พลิกโฉมอุตสาหกรรมพลังงานสู่อนาคต ในงาน ASEAN Oil and Gas Conference 2025

11

มิติหุ้น – บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ด้านการนำ AI (Artificial Intelligence) มาใช้ยกระดับอุตสาหกรรมการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ในงานประชุม ASEAN Oil and Gas Conference 2025 ภายใต้ธีม “Navigating the Energy Transition: Focusing on Innovation, Market Dynamics, and Sustainable Growth in ASEAN’s Oil and Gas Sector.” จัดโดย Fireworks Media (Thailand) Co., Ltd. โดยได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากกระทรวงพลังงานและภาคีเครือข่ายภาคเอกชนในอุตสาหกรรม ณ ไบเทค บางนา กรุงเทพฯ  

งานประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเปิดเวทีให้ผู้ประกอบการ นักลงทุน ผู้เชี่ยวชาญ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรม กว่า 500 บริษัท ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ จัดแสดงนวัตกรรม สร้างเครือข่ายทางธุรกิจ และอัปเดตแนวโน้มล่าสุดของอุตสาหกรรมพลังงานในระดับภูมิภาคและนานาชาติ โดย นางสาวพอพิชญ์ พงษ์พานิช รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ในฐานะตัวแทนบริษัท ได้ร่วมแบ่งปันมุมมองและกลยุทธ์การนำ AI และเทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะบุคลากร เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โดยมุ่งตอบโจทย์การจัดหาพลังงานที่สะอาดขึ้น ปลอดภัย และเชื่อถือได้ให้กับประเทศอย่างยั่งยืน บนเวที  “AI Trends and Opportunities in Oil & Gas: Transforming the Industry for the Future” พร้อมพูดถึงการเปลี่ยนผ่านในยุค AI ที่มีผลต่อภาคอุตสาหกรรม ร่วมกับผู้บริหารจากองค์กรชั้นนำต่างๆ

นางสาวพอพิชญ์ ได้กล่าวถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมพลังงานในประเทศไทยว่า “อุตสาหกรรมพลังงานไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นและแรงกดดันด้านการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน ในขณะเดียวกัน เราสามารถเปลี่ยนความกดดันนี้ให้กลายเป็นโอกาสได้  โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาใช้เป็นตัวขับเคลื่อนในการส่งมอบพลังงานอย่างปลอดภัย พร้อมทั้งยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานและสร้างจุดแข็งให้กับองค์กร ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมากจากเทคโนโลยีดิจิทัลที่ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้”

เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลและการนำ AI มาใช้ในกระบวนการทำงาน นางสาวพอพิชญ์ กล่าวว่า เชฟรอนได้เริ่มการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล (Digital Transformation) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 โดยนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้งาน เช่น IoT, Cloud,  Data Science, Machine Learning และ RPA ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการโดยรวม และในช่วงสองปีที่ผ่านมา ได้ต่อยอดสู่การใช้ Generative AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ความปลอดภัย และการตัดสินใจในพื้นที่ปฏิบัติงาน

“ปัจจุบัน AI ถือเป็นหัวใจสำคัญของการวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยยึดแนวทางที่ให้มนุษย์เป็นศูนย์กลาง เราได้นำ AI มาใช้ในห่วงโซ่แห่งคุณค่า หรือ Value Chain ตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูลคลื่นไหวสะเทือน (Seismic Data) ในขั้นตอนของการสำรวจ ไปจนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแบบเรียลไทม์ และการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์เพื่อแจ้งเตือนเหตุการณ์ผิดปกติล่วงหน้า

“สำหรับที่สำนักงานกรุงเทพฯ บริษัทฯ ได้มีการจัดตั้งศูนย์ควบคุมการปฏิบัติงานของแท่นผลิต (Integrated Operations Center: IOC) ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการติดตามและบริหารจัดการการผลิตจากระยะไกลจากพื้นที่นอกชายฝั่ง มารวมไว้ที่สำนักงานบนฝั่งในที่เดียวกัน  โดยศูนย์ IOC นี้ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI เพื่อเฝ้าระวังเหตุการณ์ผิดปกติของการทำงานของอุปกรณ์สำคัญแบบเรียลไทม์ พร้อมทั้งคาดการณ์ความเสียหายของอุปกรณ์ล่วงหน้า ช่วยลดโอกาสในการหยุดชะงักของการผลิต และช่วยในการบำรุงรักษาอุปกรณ์ที่สำคัญ นอกจากนี้ ยังนำ Generative AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่เดิม ซึ่งช่วยให้ทีมงานในพื้นที่ปฏิบัติงานนอกชายฝั่งสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกได้อย่างรวดเร็ว เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นางสาวพอพิชญ์ กล่าวต่อ

“ล่าสุด องค์กรของเรากำลังให้ความสำคัญกับการนำ Agentic AI ที่มีความปลอดภัยมาใช้ โดยเน้นความรวดเร็วในการทำงาน เพื่อสร้างระบบที่สามารถตัดสินใจเองได้ในสถานการณ์ที่มีความซับซ้อน พร้อมมุ่งเน้นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การทำงานและสร้างผลลัพธ์ให้องค์กร

“นอกจากการลงทุนทางเทคโนโลยีแล้ว เชฟรอนยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้กับพนักงานทุกระดับ ตั้งแต่การให้ความรู้พื้นฐาน การให้สิทธิ์ใช้เครื่องมือ เช่น Microsoft Copilot ไปจนถึงการจัดตั้งกลุ่ม Citizen Developer เข้าร่วมฝึกอบรมด้าน low code และ automation เพื่อให้สามารถพัฒนาเครื่องมือช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาที่พบเจอได้ด้วยตนเอง ซึ่งทำให้งานที่ทำมีประสิทธิภาพมากขึ้น และใช้เวลาน้อยลง” นางสาวพอพิชญ์ กล่าวเสริม

“อย่างไรก็ดี การขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีจำเป็นต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลและศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่เชื่อถือได้และสามารถสเกลได้ตามความต้องการ ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนา AI รวมถึงการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อเปิดทางให้เทคโนโลยีใหม่สามารถทดลองใช้ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ซึ่งจะช่วยเร่งนวัตกรรมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้” นางสาวพอพิชญ์ กล่าวทิ้งท้าย

AI กำลังมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานทั่วโลก เป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนจะช่วยให้ประเทศไทยเร่งการนำ AI มาใช้ในกระบวนการผลิตและการบริหารจัดการ เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระดับสากล

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon