“เชฟรอน” นำ AI ยกระดับอุตสาหกรรม สร้างพลังงานสะอาดยั่งยืน

32

บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ด้านการนำ AI (Artificial Intelligence) มาใช้ยกระดับอุตสาหกรรมการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ในงานประชุม ASEAN Oil and Gas Conference 2025 ภายใต้ธีม “Navigating the Energy Transition: Focusing on Innovation, Market Dynamics, and Sustainable Growth in ASEAN’s Oil and Gas Sector.”

นางสาวพอพิชญ์ พงษ์พานิช รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ของเชฟรอน ในฐานะตัวแทนบริษัท ได้ร่วมแบ่งปันมุมมองและกลยุทธ์การนำ AI และเทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะบุคลากร เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน มุ่งตอบโจทยจัดหาพลังงานที่สะอาดขึ้น ปลอดภัย และเชื่อถือได้ให้กับประเทศอย่างยั่งยืน บนเวที  “AI Trends and Opportunities in Oil & Gas: Transforming the Industry for the Future” พร้อมพูดถึงการเปลี่ยนผ่านในยุค AI ที่มีผลต่อภาคอุตสาหกรรม

เชฟรอนได้เริ่มเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล (Digital Transformation) ตั้งแต่ปี  2559 โดยนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้งาน เช่น IoT, Cloud,  Data Science, Machine Learning และ RPA ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการโดยรวม และช่วงสองปีที่ผ่านมา ได้ต่อยอดสู่การใช้ Generative AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ความปลอดภัย และการตัดสินใจในพื้นที่ปฏิบัติงาน

“ปัจจุบัน AI ถือเป็นหัวใจสำคัญของการวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยยึดแนวทางที่ให้มนุษย์เป็นศูนย์กลาง เราได้นำ AI มาใช้ในห่วงโซ่แห่งคุณค่า หรือ Value Chain ตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูลคลื่นไหวสะเทือน (Seismic Data) ในขั้นตอนของการสำรวจ ไปจนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแบบเรียลไทม์ และการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์เพื่อแจ้งเตือนเหตุการณ์ผิดปกติล่วงหน้า

บริษัทฯ ยังได้จัดตั้งศูนย์ควบคุมการปฏิบัติงานของแท่นผลิต (Integrated Operations Center: IOC) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการติดตามและบริหารจัดการการผลิตจากระยะไกลจากพื้นที่นอกชายฝั่ง มารวมไว้ที่สำนักงานบนฝั่งในที่เดียวกัน  โดยศูนย์ IOC นี้ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI เพื่อเฝ้าระวังเหตุการณ์ผิดปกติของการทำงานของอุปกรณ์สำคัญแบบเรียลไทม์ พร้อมทั้งคาดการณ์ความเสียหายของอุปกรณ์ล่วงหน้า ช่วยลดโอกาสในการหยุดชะงักของการผลิต และช่วยในการบำรุงรักษาอุปกรณ์ที่สำคัญ นอกจากนี้ ยังนำ Generative AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่เดิม ซึ่งช่วยให้ทีมงานในพื้นที่ปฏิบัติงานนอกชายฝั่งสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกได้อย่างรวดเร็ว เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“อย่างไรก็ดี การขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีจำเป็นต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลและศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่เชื่อถือได้และสามารถสเกลได้ตามความต้องการ ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนา AI รวมถึงการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อเปิดทางให้เทคโนโลยีใหม่สามารถทดลองใช้ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ซึ่งจะช่วยเร่งนวัตกรรมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้” นางสาวพอพิชญ์ กล่าวทิ้งท้าย

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon