
มิติหุ้น – กรมสรรพสามิต ขานรับนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล เร่งเดินหน้าองค์กรด้วยแนวคิด EXCISE EXerCISE “สร้างพลังสรรพสามิต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน”
ดร. พรชัย ฐีระเวช อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า วันนี้ (3 ธ.ค. 2568) ได้แถลงทิศทางการขับเคลื่อนกรมสรรพสามิต ปีงบประมาณ 2569 เร่งยกระดับบทบาทภารกิจจากหน่วยงานจัดเก็บรายได้ สู่การเป็น กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เผยโครงสร้างรายได้ปัจจุบันสะท้อนถึงทิศทางความยั่งยืนอย่างชัดเจน โดยมีสัดส่วนภาษีเพื่อสิ่งแวดล้อม (เช่น น้ำมัน รถยนต์) สูงถึงร้อยละ 57 และภาษีเพื่อสังคม (เช่น สุรา เบียร์ ยาสูบ) คิดเป็นร้อยละ 43
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวต่อว่า กรมสรรพสามิตต่อยอดความสำเร็จจาก SMART Excise ในปีที่ผ่านมา สู่การขับเคลื่อนภารกิจด้วยกลยุทธ์ “Diamond of SMART EXCISE” โดยมีหลักการสำคัญที่มุ่งเน้น 5 ด้าน คือ ความผาสุก ความโปร่งใส ความเป็นธรรม ความแม่นยำ และความเรียบง่าย พร้อมขานรับนโยบายเร่งด่วน Quick Big Win ของรัฐบาล ด้วยการยกระดับหลักการทำงานภายใต้ แนวคิดใหม่ “EXCISE is a Society of EXerCiSE” หรือ “EXCISE EXerCISE” ที่มุ่งขับเคลื่อน ทั้งสังคมและองค์กร ด้วยพลังแห่งวินัยและความเป็นมืออาชีพ เพื่อให้บุคลากรของกรมสรรพสามิต ทุกระดับ ร่วมเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน โดย ” EXCISE EXerCISE ” มุ่งเน้นการขับเคลื่อนใน 2 ด้าน ควบคู่กัน คือ
ด้านที่ 1 ร่วมกันยกระดับ ภาษีสรรพสามิตเพื่อความยั่งยืน (Excise Tax) โดยควบคุมการบริโภคสิ่งไม่พึงประสงค์ หรือทำลายสุขภาพ จำกัดการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย และสร้างความตระหนักรู้ รวมถึงส่งเสริมพฤติกรรมของผู้บริโภคและผู้ผลิตในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งการขับเคลื่อนดังกล่าวดำเนินการตามแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2570-2573) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2568 ซึ่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปี 2569: ร้อยละ 1.2 – 2.2 (ค่ากลาง 1.7) ปี 2570: ร้อยละ 2.1 – 3.1 (ค่ากลาง 2.6) ปี 2571-2572: ร้อยละ 2.3 – 3.3 (ค่ากลาง 2.8) ปี 2573: ร้อยละ 2.5 – 3.5 (ค่ากลาง 3.0) โดยใน ปี 2569 กรมสรรพสามิตตั้งเป้าจัดเก็บรายได้ 578,200 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 611,220 ล้านบาท ในปี 2570 ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันรายได้รัฐบาลสุทธิให้แตะระดับ 3 ล้านล้านบาท ภายใต้แผนการคลังระยะปานกลาง 2570-2573 กรมสรรพสามิตได้นำนโยบายของ ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มาปรับใช้ โดยยึดสมการเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการเก็บภาษีอากร คือ “Excise Tax = Tax Base x Tax Rate” หรือ “Excise Tax = Price x Quantity x Tax Rate” หรือ “รายได้ภาษี = ราคา x ปริมาณ x อัตราภาษี” โดยมีแผนการดำเนินงาน ประกอบด้วย
1) การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการจัดเก็บรายได้ (Tax Base = Price x Quantity) โดยการทบทวนกฎหมาย และนำเทคโนโลยีมาใช้ ได้แก่ การพัฒนาระบบตรวจสอบข้อมูลสุรานำเข้า เพื่อประเมินมูลค่าและควบคุมการจัดเก็บภาษีสำหรับสุราทุกชนิด ปรับปรุงประกาศกรมสรรพสามิต และพัฒนา Application การสำรวจราคา เพื่อใช้เปรียบเทียบกับราคาขายปลีกแนะนำที่ผู้ผลิตและ ผู้นำเข้าแจ้ง (ใช้ในการตรวจสอบภาษี) ทบทวนประกาศกรมสรรพสามิตเกี่ยวกับสิทธิเสียภาษีอัตราศูนย์ ของเครื่องดื่ม ประเภทน้ำพืชผักผลไม้ ปรับปรุงหลักเกณฑ์การสุ่มตรวจสอบสินค้าใหม่ และการปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดเก็บภาษีกิจการบริการ โดยขยายฐานภาษี ให้ครอบคลุมค่าใช้บริการประเภทต่าง ๆ ให้มากขึ้น รวมทั้ง ยกระดับการปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายเชิงรุก ด้วยเทคโนโลยี และความร่วมมือทุกภาคส่วน พร้อมจูงใจให้กลับเข้าสู่ระบบภาษี
2) มาตรการภาษี (Tax Rate) มุ่งปรับปรุงโครงสร้างภาษีให้ตอบโจทย์ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การปรับภาษีน้ำมัน โดยพิจารณาควบคู่กับต้นทุนราคาน้ำมันดิบ และสถานะกองทุนน้ำมันฯ ปรับโครงสร้าง/อัตราภาษีสุรา เบียร์ และยาสูบ เครื่องดื่ม ตามหลักการ ด้านสุขภาพ ปรับโครงสร้างภาษีแบตเตอรี่ ตามหลักการด้านสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ปรับโครงสร้างภาษีสินค้าและบริการตามหลักการด้านความฟุ่มเฟือย ปรับโครงสร้างภาษีสินค้าที่สร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ที่รวมถึงการนำคาร์บอนมาใช้พิจารณาประกอบ เป็นต้น
ด้านที่ 2 ร่วมกันพัฒนาบุคลากรและระบบดิจิทัลของกรมสรรพสามิต ในด้านบุคลากร กรมสรรพสามิตดำเนินงานทั้งด้าน HRM และ HRD เพราะเชื่อมั่นว่าบุคลากร คือ พลังขับเคลื่อน แห่งวินัย ความรู้ และความเป็นมืออาชีพ ที่จะนำพาองค์กรมุ่งสู่ระบบภาษีอัจฉริยะเพื่อสังคมที่โปร่งใสและยั่งยืน จึงมุ่งสร้างบุคลากรยุคใหม่ ภายใต้แนวคิด (1) Intelligent EXerCISE คือ เป็นบุคลากรที่มีความรอบรู้ มีสติ และปัญญา คิดสร้างสรรค์ พร้อมปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง และ (2) Physical & Mindset EXerCISE คือ มีสุขภาวะที่ดีรอบด้าน ทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ส่งเสริมวินัยในตนเอง ความซื่อสัตย์ และการทำงานอย่างมีธรรมาภิบาล เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการปฏิบัติหน้าที่ และประโยชน์ของประเทศชาติ โดยมีแผนสำคัญ เช่น (1) การวิเคราะห์อัตรากำลัง ด้วย Big Data เพื่อจัดสรรกำลังคนให้ทันต่อสถานการณ์ (2) การสร้างเส้นทางเติบโตที่ชัดเจนและยืดหยุ่น ส่งเสริม การเรียนรู้ แบบ Cross-functional (3) การสร้างมืออาชีพ พัฒนาบุคลากรให้เป็น “นักจัดเก็บภาษี ยุคใหม่” ที่รอบรู้ทั้งกฎหมาย การเงิน และเทคโนโลยี พร้อมทักษะดิจิทัลที่ทันสมัย และส่งเสริมนวัตกรรม (5) การยกระดับกรมสรรพสามิตคุณธรรม สร้างค่านิยมการพัฒนาตนให้เป็น “คนเก่ง ดี มีความสุข” สร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมพลังบวก ดูแลสวัสดิการและคุณภาพชีวิต (Work-Life Balance) เพื่อรักษาบุคลากรให้มีความผูกพัน (Engagement) กับองค์กรอย่างยั่งยืน เป็นต้น และด้านระบบดิจิทัล กรมสรรพสามิตมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรให้ก้าวสู่ “องค์กรดิจิทัลที่มีศักยภาพสูง (High Performance Digital Organization)” เพื่อให้การจัดเก็บภาษีและบริการประชาชนมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบโจทย์ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง จึงได้กำหนดนโยบายด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Excise Digital Policy) 5 ด้านสำคัญ ได้แก่ (1) การให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล (Digital Service Platform) ด้วยบริการที่เข้าถึงง่าย โปร่งใส ตั้งแต่ต้นจนจบ ผ่านระบบต่าง ๆ เช่น D-License , E-Filing และ E-Payment , My Tax Account และ Chatbot “น้องสมิตต์” ผู้ช่วยอัจฉริยะตอบคำถามตลอด 24 ชั่วโมง (2) การบูรณาการข้อมูลและการใช้ AI มุ่งเชื่อมโยง Big Data 3 กรมภาษีเพื่อขยายฐาน และเพิ่มศักยภาพการจัดเก็บภาษี (3) การกำกับดูแลด้านดิจิทัล เช่น Data Governance ,Cybersecurity (4) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคงปลอดภัย เช่น ISO/IEC 27001 (5) การพัฒนาทักษะดิจิทัลบุคลากรผ่าน “โรงเรียนสรรพสามิต ออนไลน์”
กรมสรรพสามิตหนึ่งในหน่วยงานจัดเก็บรายได้ของกระทรวงการคลัง ขอเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินนโยบายการคลังในระยะปานกลาง ที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศ เพื่อเสริมสร้างความมั่งคงทางการคลังและรักษาระดับความน่าเชื่อถือของประเทศภายใต้ แนวคิด “Credible” โดยให้ความสำคัญกับการปรับสมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ภายใต้กรอบวินัยการคลัง ความโปร่งใส และเป็นรูปธรรมในทุกมิติของการบริหารจัดการด้านการคลัง ด้วยการเร่งเครื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ โดยนำระบบงานดิจิทัล และ Big Data มาใช้เพื่อขยายฐานภาษี และเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบรายบุคคลและผู้ประกอบการ ใช้ Data Lake ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและขยายฐานในการจัดเก็บรายได้ให้ครบถ้วน และนำมาช่วยออกแบบ วิเคราะห์ และประเมินผลนโยบายการคลัง รวมทั้ง ทบทวนกฎหมาย พัฒนาแอปพลิเคชันในการสำรวจราคาขายปลีกแนะนำ เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผลมากขึ้น ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือด้านภาษีระหว่างประเทศ และพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกในการชำระภาษีให้สะดวกและโปร่งใสมากขึ้น พร้อมทั้ง ดำเนินมาตรการภาษี ขยายฐานภาษี ตรวจสอบ ปราบปรามภาษีเชิงรุก เพื่อรับมือกับความท้าทายทุกมิติ ควบคู่การดูแลผู้ประกอบการด้วยความโปร่งใส และเป็นธรรม โดยปัจจุบันกรมมีมาตรการภาษี เช่น (1) ปรับเพิ่มอัตราภาษีน้ำมัน ลิตรละ 1 บาท (มีผลเมื่อ 7 พ.ค. 68) (2) สนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย (3) ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ จากร้อยละ 10 เหลือร้อยละ 5 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว (เริ่ม 1 ม.ค. 69) (4) ปรับ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามกฎกระทรวงการผลิตสุรา เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการสุรารายย่อยและสุราชุมชน (มีผล 2 ธ.ค. 68) และมีมาตรการภาษีในอนาคต เช่น (1) ขยายฐานภาษีสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมรองรับ มาตรการการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) (2) ขยายฐานภาษีสินค้าหรือบริการที่ฟุ่มเฟือย (3) ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น Sustainable Aviation Fuel – SAF , Bio-based fuels 4) ภาษีความเค็ม เพื่อลดปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการบริโภคโซเดียมเกินความจำเป็น 5) ปรับโครงสร้างภาษีแบตเตอรี่ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยพิจารณาจากจำนวนรอบการชาร์จ (Life Cycle) และน้ำหนักต่อการให้พลังงาน (Electricity Density) 6) ปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ซิกาแรตให้เป็นระบบภาษีแบบอัตราเดียว (Uniform Tax System) นอกจากนั้น กรมสรรพสามิตยังได้ยกระดับการปราบปรามเชิงรุกอย่างจริงจัง ด้วยการบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่าย เช่น ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการปกครอง และกองทัพ เพื่อเสริมสรรพกำลังและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ผ่านระบบ “ศูนย์ปราบปราม สินค้าออนไลน์” ทั้งนี้ 1 ต.ค. – 30 พ.ย. 2568 สามารถจับกุมคดีผิดกฎหมายได้ 3,974 คดี ของกลาง 701,067 ซอง คิดเป็นมูลค่าภาษีที่รัฐสูญเสียกว่า 35.61 ล้านบาท ค่าปรับและประมาณการค่าปรับ 482.11 ล้านบาท
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวทิ้งท้ายว่า กรมสรรพสามิตตระหนักดีถึงความท้าทายในการออกแบบระบบภาษีสรรพสามิตที่ต้องรักษาสมดุลระหว่าง “การควบคุมจำกัด” สำหรับสินค้า ที่ทำลายสุขภาพ ฟุ่มเฟือย และ “การส่งเสริม” เศรษฐกิจยั่งยืน จึงเชื่อมั่นว่า การขับเคลื่อนองค์กรด้วย Diamond of SMART EXCISE พร้อมเสริมพลัง แนวคิด EXCISE EXerCISE ในครั้งนี้ จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ยั่งยืน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับ ผู้เสียภาษีสรรพสามิต และภาคประชาชน ด้านความโปร่งใส เป็นธรรมของระบบภาษีสรรพสามิตในระยะยาวต่อไป
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon































