กลุ่ม KTIS มั่นใจปี 2569 กลับสู่โหมดของการเติบโต เผยปี 2568 เป็นจุดต่ำสุดแล้ว จากราคาน้ำตาลโลกและเอทานอลที่ต่ำกว่าคาดมาก

6

มิติหุ้น – กลุ่ม KTIS คาดปี 2569 ปริมาณผลผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายจะมากกว่าปี 2568 ไม่น้อยกว่า 15% จากปริมาณน้ำฝนและอากาศเย็น ส่งผลดีต่อสายธุรกิจอื่นๆ ทั้งเยื่อกระดาษชานอ้อย การผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล และบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยบริสุทธิ์ 100% ยอมรับผลการดำเนินงานปี 2568 ได้รับผลกระทบจากปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม คือราคาน้ำตาลทรายตลาดโลก โมลาส และราคา-ปริมาณการขายเอทานอลที่ต่ำกว่าคาดมาก แต่ไม่ได้กระทบต่อการเติบโตในระยะยาวและเชื่อว่าจุดต่ำสุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว

นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจอ้อยและน้ำตาล กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจรสู่ BCG อย่างยั่งยืน เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่ 12-15 ธันวาคม 2568 นี้ โรงงานน้ำตาล 3 แห่งในกลุ่ม KTIS จะเริ่มเปิดรับอ้อยเข้าหีบประจำฤดูการผลิตปี 2568/2569 ซึ่งคาดว่าฤดูการผลิตนี้จะมีปริมาณอ้อยมากกว่าปีก่อนไม่น้อยกว่า 15% เนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่ดี นอกจากนี้ อากาศที่เย็นก็มีผลให้คุณภาพอ้อยหรือค่าความหวานดีขึ้นด้วย เมื่อผลผลิตน้ำตาลทรายต่อตันอ้อยสูงขึ้นก็จะส่งผลต่อปริมาณผลผลิตน้ำตาลทรายโดยรวมเพิ่มขึ้นมากกว่า 15% ด้วยเช่นกัน

“ในฤดูการผลิตปี 2567/2568 กลุ่ม KTIS มีอ้อยเข้าหีบ 6.4 ล้านตัน คาดว่าปี 2568/2569 จะมีอ้อยเข้าหีบ 7.4-7.5 ล้านตัน ซึ่งถือว่าเป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งของกลุ่ม KTIS เพราะจะทำให้มีวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากขึ้นด้วย ทั้งโรงงานผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อย โรงไฟฟ้าชีวมวล รวมถึงโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยบริสุทธิ์ 100%” นายสมชายกล่าว

อย่างไรก็ตาม ในด้านของผลการดำเนินงานนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณผลผลิตหรือปริมาณการขายเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับราคาขายด้วย โดยในปี 2568 ที่ผ่านมา ราคาน้ำตาลทรายตลาดโลกลดต่ำลงกว่าที่คาดมาก ทำให้ราคาขายน้ำตาลเฉลี่ยของกลุ่ม KTIS ในปีที่ผ่านมาลดลงกว่า 22% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ นอกจากนี้ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล นอกจากจะได้รับผลกระทบจากราคาขายเฉลี่ยที่ต่ำกว่าปีก่อนกว่า 33% แล้ว ยังได้รับผลกระทบจากปริมาณการขายที่ลดต่ำลงมาก เนื่องจากความไม่ต่อเนื่องในนโยบายของภาครัฐในการสนับสนุนการใช้แก๊สโซฮอล์ ทำให้ความต้องการเอทานอลลดลงไปอย่างมาก

“ความต้องการใช้และราคาเอทานอลที่ลดลง ส่งผลกระทบไปถึงกิจการร่วมค้า (ร่วมลงทุน) ระหว่างกลุ่ม KTIS กับกลุ่ม ปตท. อย่างมากด้วย เพราะรายได้หลักของกิจการร่วมค้ามาจากการผลิตและจำหน่ายเอทานอล” นายสมชายกล่าว และย้ำว่า ผลกระทบที่หนักที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว และจะเริ่มดีขึ้นจากการร่วมกันแก้ไขปัญหาของกลุ่ม KTIS และกลุ่ม ปตท.

สำหรับธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล ที่มีรายได้เติบโต 24% ในปี 2568 ถือว่าโดดเด่นที่สุดในทุกสายธุรกิจ ก็ยังจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2569 จากปริมาณชานอ้อยที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น และการบริหารจัดการวัตถุดิบที่ดีขึ้นจากนโยบายลดการนำชานอ้อยไปผลิตไอน้ำ และนำมาใช้ผลิตไฟฟ้ามากขึ้น

ส่วนสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษจากชานอ้อย ก็ได้รับผลดีจากการที่มีโรงงานผลิตภาชนะและบรรจุภัณฑ์เยื่อกระดาษย้ายฐานการผลิตมาจากประเทศจีน ทำให้ความต้องการใช้เยื่อกระดาษชานอ้อยในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น แม้ในอีกด้านหนึ่งจะทำให้คู่แข่งของโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์จากเยื่อชานอ้อยของกลุ่ม KTIS เพิ่มขึ้นด้วย แต่โรงงานที่สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์จากเยื่อชานอ้อยบริสุทธิ์ 100% ด้วยต้นทุนการผลิตที่ควบคุมได้ เพราะใช้วัตถุดิบจากบริษัทในกลุ่ม KTIS ด้วยกัน มีเพียงบริษัท เอ็นไวรอนเม็นท์พัลพ์ แอนด์ แพคเกจจิ้ง จำกัด (EPAC) ในกลุ่ม KTIS เท่านั้น ดังนั้น EPAC จึงมีความสามารถในการแข่งขันที่สูง

“กล่าวโดยสรุปก็คือ ผลการดำเนินงานในปี 2568 ที่ผ่านมา ไม่ได้กระทบต่อทิศทางการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนของกลุ่ม KTIS แต่อย่างใด และกลุ่ม KTIS ก็ยังคงมีความตั้งใจในการพัฒนาธุรกิจน้ำตาลและธุรกิจต่อเนื่อง ที่มีผลต่อการสร้างงาน สร้างอาชีพ และมีผลต่อการขายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว” นายสมชายกล่าว

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon