
มิติหุ้น – สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับธนาคารโลก (World Bank) แถลงกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยผ่านรายงาน “10 เทคโนโลยีระดับโลกและระดับประเทศที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงสำคัญในปี 2568” โดยมุ่งเน้นการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้ก้าวข้ามการเป็นเพียงผู้ซื้อเทคโนโลยีสู่การเป็นผู้สร้างสรรค์นวัตกรรม หลังผลสำรวจดัชนีชี้วัดนวัตกรรมพบจุดอ่อนสำคัญในการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติที่ยังคงสูงต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าโครงการ “การทบทวนประสิทธิผลเชิงนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (PER) ระยะที่ 2” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนและแก้ปัญหาช่องว่างด้านทักษะบุคลากร รวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของภาคเอกชน เพื่อขับเคลื่อนไทยสู่ผู้นำด้านนวัตกรรมในระดับภูมิภาค
ศาสตราจารย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) เปิดเผยผลการตรวจวัดดัชนีวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไทย 2568 หรือ Thailand SRI Index 2025 โดยระบุว่า สุขภาพมวลรวมด้าน ววน. ของไทยในปีนี้อยู่ที่ 7.77 คะแนน ซึ่งแม้จะลดลงเล็กน้อยจากผลกระทบภายนอก แต่สะท้อนให้เห็นว่านักวิจัยไทยมีศักยภาพสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยมีผลงานตีพิมพ์เพิ่มขึ้นถึง 2.48 เท่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่น่ากังวลคือดุลการชำระเงินทางเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นถึง 1.37 เท่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรายังพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศสูงมาก
“ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันอุดมศึกษา แม้จะมีคะแนนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ยังคงมีช่องว่างขนาดใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องเปลี่ยนจากเม็ดเงินที่จ่ายออกนอกประเทศ มาเป็นการสนับสนุนงานวิจัยภายในประเทศแทน เราต้องเร่งปรับระบบให้เกิดการรวมศูนย์ มีเจ้าภาพที่ชัดเจนในการประสานทั้งงบประมาณ บุคลากร และแผนงานวิจัยให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและเกิดผลสัมฤทธิ์ที่จับต้องได้จริงต่อเศรษฐกิจของชาติ” ศาสตราจารย์สิริฤกษ์ กล่าวเน้นย้ำ
ทางด้าน ศาสตราจารย์สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สกสว. ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับ 10 นวัตกรรมระดับโลกที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงในปี 2568 ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ 1) AI ครองโลก 2) พลังงานยุคใหม่ และ3) การรักษาแบบล้ำยุค
กลุ่มที่ 1: AI ครองโลก
1.Collaborative Sensing(การรับรู้ร่วมอัจฉริยะ): บูรณาการข้อมูลเซนเซอร์ทั่วเมืองเพื่อแก้ปัญหาจราจรและภัยพิบัติอย่างแม่นยำ ในเมืองที่ซับซ้อน ข้อมูลจากจุดเดียวไม่พอ การบูรณาการเซนเซอร์รอบตัวด้วย AI จึงเป็น หัวใจหลัก ของระบบเมืองอัจฉริยะที่คาดการณ์อุบัติเหตุและจัดการจราจรได้อย่างแม่นยำ
2.Autonomous Biochemical Sensing(เซนเซอร์เฝ้าระวังอัตโนมัติ): ระบบแจ้งเตือนมลพิษและสุขภาพแบบเรียลไทม์ ปิดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม เพราะการรู้ตัวเมื่อสารพิษแพร่กระจายนั้น “สายเกินไป” เซนเซอร์ที่รายงานผล Real-time ตลอดเวลาจึงเป็น เครื่องมือเฝ้าระวัง ที่ขาดไม่ได้สำหรับความปลอดภัยทางอาหารและสิ่งแวดล้อม
3.Generative Watermarking(ลายน้ำดิจิทัล AI): สร้างความปลอดภัยในโลกข้อมูลข่าวสาร ป้องกันปัญหา Deepfake และการฉ้อโกงดิจิทัลที่กำลังคุกคามประชาชน วิกฤต Deepfake และข้อมูลเท็จกำลังทำลายความเชื่อมั่น ลายน้ำดิจิทัลที่มองไม่เห็นจึงเป็น เกราะคุ้มกันความจริง ที่สำคัญที่สุดในระบอบประชาธิปไตยและสังคมดิจิทัล
กลุ่มที่ 2: พลังงานยุคใหม่
4.Structural Battery Composites(แบตเตอรี่ไร้น้ำหนัก): แก้ปัญหาการพึ่งพาเทคโนโลยีแบตเตอรี่จากต่างชาติ มุ่งสู่การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เบาและทรงพลังกว่าเดิม เพราะแบตเตอรี่แบบเดิมคือ “ภาระ” ของน้ำหนักใน EV และโดรน นวัตกรรมนี้จึง จำเป็น ต้องเปลี่ยนโครงสร้างตัวถังให้เก็บไฟได้เอง เพื่อสร้าง “Massless Energy” ยืดระยะการเดินทางและปฏิวัติอุตสาหกรรมการบิน
5.Osmotic Power Systems(พลังงานจากความต่างความเค็ม): สร้างฐานพลังงานสะอาดที่มั่นคง (Base-load) ในพื้นที่ชายฝั่ง ลดภาระการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิล ในภาวะที่แดดและลมไม่เสถียร พลังงานออสโมติกคือ ความหวังใหม่ ของ Base-load พลังงานสะอาดที่ผลิตได้ 24 ชั่วโมงจากจุดบรรจบของน้ำจืดและน้ำเค็ม สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้เมืองชายฝั่ง
6.Advanced Nuclear Technologies(นิวเคลียร์ปลอดภัย SMRs): แหล่งพลังงานสะอาดประสิทธิภาพสูงเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมดิจิทัลและ AI เพื่อตอบโจทย์ความต้องการไฟฟ้ามหาศาลของ AI และ Data Center โดยไม่ทำลายโลก นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) จึงเป็น ทางออกที่ปลอดภัยและคล่องตัว ในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
7.Green Nitrogen Fixation(การผลิตปุ๋ยคาร์บอนต่ำ): พลิกโฉมเกษตรกรรมไทย ลดการนำเข้าปุ๋ยเคมีราคาแพง และมุ่งสู่มาตรฐานเกษตรสีเขียวระดับโลก เพื่อความมั่นคงทางอาหารและการไปสู่ Net Zero ภาคเกษตร จำเป็น ต้องลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติราคาแพง มาเป็นการใช้ไฟฟ้าสะอาดผลิตแอมโมเนียใกล้พื้นที่เกษตรแทน
กลุ่มที่ 3: การรักษาแบบล้ำยุค
8.Engineered Living Therapeutics(จุลชีพออกแบบรักษาโรค): ยุคใหม่ของการรักษาโรคเรื้อรังที่เข้าถึงง่ายขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ต้องพึ่งพายานำเข้า เมื่อยาสมัยใหม่แพงจนเข้าถึงยาก การใช้ Synthetic Biology ออกแบบจุลชีพให้เป็น “โรงงานยาในตัวมนุษย์” จึง จำเป็น เพื่อลดต้นทุนการรักษาและเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตในโรคเรื้อรัง
9.GLP-1s for Neurodegenerative(ชะลอสมองเสื่อม): การรับมือสังคมสูงวัยของไทยด้วย ท่ามกลางวิกฤตสังคมสูงวัย การค้นพบว่ายากลุ่ม GLP-1 ช่วยชะลออัลไซเมอร์และพาร์กินสันได้ คือ กุญแจสำคัญ ในการลดภาระงบประมาณสาธารณสุขก่อนที่ความเสื่อมของสมองจะกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ
10.Nanozymes(นาโนเอนไซม์สังเคราะห์): นวัตกรรมต้นทุนต่ำที่จะเข้ามาแทนที่สารเคมีราคาสูง ทั้งในด้านการแพทย์และการบำบัดน้ำเสีย เพราะ เอนไซม์ธรรมชาติมีราคาแพงและเปราะบาง นาโนเอนไซม์จึงเป็น นวัตกรรมทดแทน ที่อึดและถูกกว่า มอบโอกาสใหม่ในการวินิจฉัยโรคและบำบัดน้ำเสียในราคาประหยัด
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์สมปอง ยังได้กล่าวถึงความสำเร็จของ 10 นวัตกรรมไทยที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในปี 2568 ซึ่งถือเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ในการแสดงอธิปไตยทางปัญญาของประเทศ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาสำคัญของชาติ ตั้งแต่วิกฤตความมั่นคงทางยา การเผชิญหน้ากับสังคมสูงวัย ไปจนถึงการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ดังนี้
มิติที่ 1: การแพทย์และสาธารณสุข การปฏิวัติการรักษา “พึ่งพาตัวเอง” เพื่อลมหายใจที่ยั่งยืน ในอดีต คนไทยต้องฝากชีวิตไว้กับยาราคาแพงจากต่างชาติ แต่วันนี้ฉากทัศน์นั้นกำลังเปลี่ยนไป
- “HERDARA”ยาชีววัตถุสู้มะเร็งเต้านม: สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ (CRI) สร้างปรากฏการณ์ปิดห่วงโซ่การผลิตยา trastuzumab biosimilar ได้สำเร็จและขึ้นทะเบียน อย. ได้เป็นครั้งแรก นี่ไม่ใช่แค่เรื่องยา แต่คือการประกาศ “อธิปไตยด้านชีวเภสัชภัณฑ์” ที่จะลดราคายาให้ผู้ป่วยเข้าถึงได้จริง และเป็นฐานการผลิตใหญ่ของภูมิภาคในอนาคต
- CAR–T Cellเซลล์พิฆาตมะเร็งฝีมือคนไทย: ความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ทั้งคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เปลี่ยนงานวิจัยให้กลายเป็น “แพลตฟอร์มบริการจริง” โดยสามารถผลิตเซลล์บำบัดมะเร็งเม็ดเลือดได้เองภายในประเทศ พร้อมตั้งเป้าลุยสนามต่อไปคือ “มะเร็งชนิดก้อน” เพื่อยกระดับไทยสู่ฮับการรักษาขั้นสูงของโลก
- ถอดรหัส“อ้วนลงพุง” สู่ “สมองเสื่อม”: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ค้นพบกลไกชีววิทยาที่น่าตกใจว่าพฤติกรรมการกินและจุลินทรีย์ในลำไส้ส่งผลถึงสมองโดยตรง นำไปสู่การได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นปี 2568 และกำลังต่อยอดเป็น “Preventive Health Tech” หรือชุดตรวจคัดกรองส่วนบุคคลที่จะช่วยชะลอสังคมผู้สูงอายุที่สมองเสื่อมก่อนวัย
มิติที่ 2: วิทยาศาสตร์ขั้นแนวหน้าและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล สมองกลและห้วงอวกาศ “ปักหมุดไทย” ในเวทีโลก ไทยไม่ได้เป็นเพียงผู้ใช้เทคโนโลยีอีกต่อไป แต่เรากำลังขยับขึ้นมาเป็น “ผู้สร้าง”
- Thai–LLMปัญญาประดิษฐ์หัวใจไทย: NECTEC/สวทช. เปิดตัวโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่เข้าใจ “ไทยแท้” ทั้งบริบทและวัฒนธรรม แก้ปัญหา AI ต่างชาติที่ไม่เข้าใจเรา นี่คือรากฐานของ GovTech และ Enterprise AI ที่จะทำให้ข้อมูลของไทยมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุดในอาเซียน
- ธงไตรรงค์บนสถานีอวกาศISS: ความร่วมมือระหว่าง ม.เกษตรศาสตร์, GISTDA และ NASA ส่งเพย์โหลดทดลอง “ผลึกเหลว” ขึ้นสู่ห้วงอวกาศได้สำเร็จ พิสูจน์ให้โลกเห็นว่าวิศวกรรมระบบของคนไทยผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับ NASA เปิดทางให้ไทยเป็นผู้พัฒนาอุปกรณ์อวกาศ (Payload Developer) ไม่ใช่แค่ผู้ซื้อข้อมูล
- ร่วมค้นพบพัลซาร์“แมงมุมแม่ม่ายดำ”: สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) โชว์ศักยภาพการจัดการข้อมูลมหาศาล (Big Data) ร่วมกับเครือข่ายกล้องระดับโลก ค้นพบดาวคู่พัลซาร์ระบบพิเศษ พลิกโฉมความเข้าใจด้านฟิสิกส์พลังงานสูง และสร้างบุคลากรสาย Data Science ขั้นเทพให้ประเทศ
มิติที่ 3: เศรษฐกิจชีวภาพและความมั่นคงทางอาหาร ปากท้องและเศรษฐกิจ “ความมั่นคงที่กินได้” เมื่อโลกเผชิญวิกฤตอาหาร นวัตกรรมไทยคือคำตอบ
- ข้าวเจ้า“ไบโอเทค 1” นักรบต้านเพลี้ย: BIOTEC/สวทช. พัฒนาพันธุ์ข้าวที่ “เพลี้ยไม่กิน” แต่คนรัก เพราะอายุเก็บเกี่ยวสั้นและผลผลิตสูง ความสำเร็จนี้คือต้นแบบการทำเกษตรคาร์บอนต่ำที่ลดการใช้สารเคมี และสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับกระดูกสันหลังของชาติ
- Future Foodแพลตฟอร์มติดสปีด: เมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) สวทช. ปฏิวัติวงการอาหารอนาคตด้วยการทำให้งานวิจัยกลายเป็นสินค้าบนหิ้งสู่ตลาดได้ในเวลาเพียง 6 เดือน (จากเดิม 2-3 ปี) ชูจุดแข็งวัตถุดิบไทยสู่แบรนด์ระดับโลก ทั้งโปรตีนทางเลือกและอาหารฟังก์ชัน
มิติที่ 4: ยุทธศาสตร์ความมั่นคงและรากฐานทางสังคม การมองอดีตเพื่อก้าวสู่อนาคต การเตรียมพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลง คือ หัวใจของความมั่นคง
- SMRพลังงานสะอาดเพื่ออนาคต: สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (OAP) ไม่ได้สร้างโรงไฟฟ้าในทันที แต่สร้าง “กฎหมายและธรรมาภิบาล” ที่ทันสมัยที่สุดเพื่อรองรับเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ทำให้ไทยมีอำนาจต่อรองด้านพลังงานสะอาดในระดับสากลและดึงดูดอุตสาหกรรมไฮเทคเข้าสู่ประเทศ
- “ปังปอน”มนุษย์ยุคน้ำแข็ง 29,000 ปี: การค้นพบโครงกระดูกที่สมบูรณ์ที่สุด ณ ถ้ำดิน
จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดย กรมศิลปากร ไม่ใช่แค่เรื่องประวัติศาสตร์ แต่คือการใช้ “Soft Power”
ผ่านเทคโนโลยี 3D Scan และ Ancient DNA เชื่อมโยงรากเหง้าของไทยเข้ากับภูมิภาค เพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานมรดก (Heritage Economy) ที่มีมูลค่ามหาศาล
ปี 2568 คือ ก้าวสำคัญที่ประเทศไทยจะประกาศ ‘อธิปไตยทางปัญญา’ ผ่านกองทุน ววน. พร้อมด้วยหน่วยบริหารและจัดการทุน (PMU) รวมถึงหน่วยรับงบประมาณ เพื่อพลิกบทบาทจาก ‘ผู้ซื้อ’ สู่ ‘ผู้สร้าง’ นวัตกรรมอย่างเต็มภาคภูมิ นี่ไม่ใช่เพียงความสำเร็จทางวิชาการ แต่คือ การเปลี่ยนงบประมาณวิจัย ให้กลายเป็นคุณภาพชีวิตที่จับต้องได้จริง ทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘SRI for ALL’ สกสว. มุ่งมั่นสร้างรากฐานนวัตกรรมที่กินได้ เพื่อพาคนไทยก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง และเติบโตอย่างมั่งคั่ง ยั่งยืน ในเวทีโลกสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างเต็มภาคภูมิ ศ.สมปอง กล่าวทิ้งท้าย
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon





















