Update: TCMC กางแผน 3-5 ปี เป้ารายได้โต 8-10% นิวไฮต่อเนื่อง หลังเพิ่มกำลังผลิตใหม่ 

165

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น หรือ TCMC โดย ม.ล.วัลลีวรรณ วรวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจรายได้รวมปี 2561 แตะระดับ 10,000 ล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้ 7,711.91 ล้านบาท ตามออเดอร์สั่งผลิตพรมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทมีแบ็กล็อกมูลค่าราว 80 กว่าล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่ทยอยรับรู้ในปีนี้  ขณะเดียวกันบริษัทได้ปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ แบ่งงานออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจพรมและวัสดุปูพื้น  2.กลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์  และ 3.กลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มบุในรถยนต์  เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารหลังควบรวมกิจการในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า  โตเฉลี่ยปีละ 8-10% โดยล่าสุดใช้งบลงทุน 90 ล้านบาท สั่งซื้อเครื่องจักรผลิตพรมระบบใหม่ 2 เครื่อง เริ่มเดินเครื่องผลิตในเดือน ต.ค. ปีนี้ เพื่อรองรับปริมาณงานที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยคาดมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก  2.4 แสนตารางเมตร/ปี จากปัจจุบันมีกำลังผลิต  1.2 ล้านตารางเมตร/ปี

สำหรับกลุ่มธุรกิจพรมและวัสดุปูพื้น บริษัทมีแผนใช้แบรนด์ “รอยัลไทย Royal Thai” และ แบรนด์ “ คาร์เปทอินเตอร์ Carpet Inter” แทน แบรนด์ “ไทปิง”ที่ใช้มากว่า 50 ปี ในการเจาะตลาดพรมทั่วโลกและในประเทศ  หลังเข้าซื้อพรมเพื่อการพาณิชย์จากTai Ping Carpets International Limited เมื่อปีที่ผ่านมา

ส่วนกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์  ปัจจุบันบริษัทลูก คือ อัลสตันส์ Alstons และ ดีเอ็ม มิดแลนด์ส ซึ่งจดทะเบียนในประเทศอังกฤษและเวลส์ เป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายเก้าอี้โซฟา ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่มีผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง โดยมีรายได้หลักมาจากยอดขายภายในประเทศอังกฤษ และมีโครงการที่จะขยายตลาดในต่างประเทศให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยล่าสุดได้นำสินค้าไปทดลองตลาดในกลุ่มตะวันออกกลาง ได้รับผลตอบรับดีมาก และจะขยายช่องทางการจัดจำหน่ายไปที่ตลาดเอเชียมากขึ้น โดยจะเน้นตลาดในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่และมีกำลังซื้อสูง อีกด้วย

ขณะที่กลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มบุในรถยนต์ มีแผนขยายตลาดให้ครอบคลุมทุกค่ายรถยนต์ที่ผลิตในไทย และยังมีโครงการพัฒนาพรมหลังคารถยนต์ (Headliner) ให้สามารถแข่งขันได้ ทั้งในด้านราคาและคุณภาพ เพื่อขยายส่วนแบ่งตลาดประเทศมาเลเซีย และขยายเข้าสู่ประเทศอินโดนีเซียในอนาคต

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนนำ บริษัทลูก คือ อัลสตันส์ Alstons และ ดีเอ็ม มิดแลนด์ส ซึ่งจดทะเบียนในประเทศอังกฤษและเวลส์ ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเก้าอี้โซฟา

ในประเทศอังกฤษ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศอังกฤษ โดยคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนได้ในปี 2563 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับโครงสร้างธุรกิจ สำหรับเงินได้ที่จากการระดมทุนมาใช้ชำระหนี้และรองรับการขยายธุรกิจ

www.mitihoon.com