กรุงศรีคาดเงินบาทซื้อขายในกรอบ 30.30-30.65 มองกระแสเงินทุนผันผวนตามเศรษฐกิจโลก

12

มิิติหุ้น-กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่ามีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 30.30-30.65 ต่อดอลลาร์เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 30.44 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทย 6.6 พันล้านบาท และ 2.3 พันล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าเทียบสกุลเงินหลักๆ หลังข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ สะท้อนภาวะชะลอตัวอย่างชัดเจนมากขึ้น

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า นักลงทุนจะจับตารายงานการประชุมนโยบายเดือนก.ย.ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ตัวเลขเงินเฟ้อและการเจรจาการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในวันที่ 10-11 ต.ค. รวมถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับทิศทาง Brexit โดยคาดว่ากระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายยังคงผันผวนท่ามกลางความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจการเงินโลก ล่าสุด ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ สดใสกว่าคาด แต่ตลาดมุ่งความสนใจไปที่ค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงซึ่งเติบโตน้อยกว่าที่ประเมินไว้ โดยสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยบ่งชี้ว่านักลงทุนมองว่ามีโอกาสราว 80% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในการประชุมนโยบายครั้งถัดไปในวันที่ 29-30 ต.ค. โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังดัชนีกิจกรรมภาคการผลิตและบริการสะท้อนแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่ประธานเฟดกล่าวว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯอยู่ในเกณฑ์ดีแม้เผชิญความเสี่ยงบ้างและเฟดจะพยายามทำให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนส.ค. สูงถึง 3.99 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากการนำเข้า หดตัวลงอย่างมาก โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยแตะระดับต่ำสุดในไตรมาส 2 ไปแล้ว อย่างไรก็ดี ภาพรวมในเดือนส.ค.ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้ายกเว้นด้านการท่องเที่ยวทางผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า ธปท.เตรียมประกาศผ่อนคลายเกณฑ์เงินทุนไหลออกเพิ่มเติมภายในสิ้นปีนี้เพื่อสนับสนุนให้นักลงทุนไทยไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นและให้ผู้ส่งออกมีความคล่องตัวในการเก็บเงินตราต่างประเทศไว้ ส่วนคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พร้อมปรับดอกเบี้ยหากสถานการณ์ผิดไปจากที่ประเมินไว้ โดยประเด็นเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการพิจารณาปรับดอกเบี้ยนโยบาย อนึ่ง เราคาดว่า กนง.มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในปีนี้ ก่อนที่จะคงไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.25% ตลอดปี