TTA เผยผลประกอบการไตรมาสที่ 3/2562 มีกำไรสุทธิ 652.8 ล้านบาท  

86
  • ในไตรมาสที่ 3/2562 TTA รายงานผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 652.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 340 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 223 จากไตรมาสก่อน เป็น 688.0 ล้านบาท
  • กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือยังคงรักษาตำแหน่งในอุตสาหกรรมได้อย่างดี โดยมีอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่า (TCE) สูงกว่าอัตราตลาดสุทธิ
  • กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่งมีมูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบทำสถิติสูงสุดถึง 210 ล้านเหรียญสหรัฐ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2562
  • อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (net IBD/E) อยู่ในระดับต่ำที่ 0.07 เท่า สะท้อนถึงโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่แข็งแกร่ง

ในไตรมาสที่ 3/2562 บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA รายงานรายได้รวมอยู่ที่ 3,887.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร และกลุ่มการลงทุนอื่น มีสัดส่วนรายได้คิดเป็นร้อยละ 46 ร้อยละ 21 ร้อยละ 17 และ ร้อยละ 16 ของรายได้รวมทั้งหมด ตามลำดับ กำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากไตรมาสก่อน เป็น 803.5 ล้านบาท นอกจากนี้ ในไตรมาสนี้ มีกำไรจากการขายหุ้นบางส่วนของบริษัทย่อยแห่งหนึ่งอีกด้วย ส่วน EBITDA ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 223 จากไตรมาสก่อนเป็น 688.0 ล้านบาท โดยสรุป ในไตรมาสที่ 3/2562  TTA รายงานผลกำไรสุทธิจำนวน 652.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 340 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า “ทางบริษัทมีความยินดีที่สามารถทำผลงานในไตรมาสนี้ออกมาได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มขนส่งทางเรือที่ยังคงรักษาการเติบโตและทำผลงานได้อย่างโดดเด่นต่อเนื่อง สำหรับกลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง เมอร์เมด มาริไทม์ มีมูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบ ทำสถิติสูงสุดอยู่ที่ 210 ล้านเหรียญสหรัฐ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2562 แม้จะได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันสูงในตลาด
ส่วนกลุ่มเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร ยังสามารถรักษาตำแหน่งในอุตสาหกรรมปุ๋ยได้ ภายใต้สภาวะการแข่งขันในตลาดที่มีความท้าทาย จากความพยายามในการเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง

ในช่วงที่เหลือของปี กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือคาดว่าจะได้รับแรงหนุนต่อเนื่องจากดัชนีบอลติค (BDI) ที่ทำระดับสูงสุดในรอบเกือบหกปีที่ 2,518 จุด ในไตรมาสที่ 3/2562 สำหรับกลุ่มบริการนอกชายฝั่ง แม้ผลการดำเนินงานจะขาดทุน แต่ทีมคณะผู้บริหารและพนักงานยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในอนาคต เนื่องจาก เมอร์เมด มาริไทม์ ยังคงมีมูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบอยู่ในระดับสูง ในขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตรจะมุ่งเน้นเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูงเพื่อทำกำไรให้สูงขึ้นอีก ส่วนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ยังคงดำเนิน  กลยุทธ์ขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง”

www.mitihoon.com