MINT ชี้ฐานเงินทุนแกร่ง-ยิ้มรับดีมานด์ท่องเที่ยวในภูมิภาค

315

มิติหุ้น- บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำถึงความสามารถในการขับเคลื่อนบริษัทอย่างรวดเร็ว เพื่อเตรียมพร้อมในการก้าวข้ามผ่านวิกฤติ COVID-19 และเติบโตต่อไปพร้อมกับการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลงทุนต่างๆในช่วงที่ผ่านมา ทั้งการเข้าซื้อกิจการ NH Hotel Group ผู้ให้บริการโรงแรมในทวีปยุโรป ทั้งอิตาลี สเปน กลุ่มประเทศเบเนลักซ์ และยุโรปกลาง  การเข้าซื้อธุรกิจร้านอาหารแบรนด์บอนชอนในประเทศไทย และ การเข้าซื้อหุ้น Breadtalk ผู้ประกอบธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มชื่อดังในสิงคโปร์และในอาเซียน ทั้งศูนย์อาหาร Food Republic ร้าน Toast Box และ Song Fa Bak Kut Teh บักกุ๊ดเต๋ระดับมิชลินไกด์ในประเทศสิงคโปร์

อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะสั้นนี้  บริษัทได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งส่งผลให้บริษัทจำเป็นต้องหยุดดำเนินธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารแบบนั่งทานตามนโยบายของภาครัฐและสาธารณสุขเพื่อป้องกันโรคจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในหลายประเทศที่บริษัทมีการดำเนินธุรกิจอยู่ ซึ่งการแพร่ระบาดในครั้งนี้ ส่งผลไม่เฉพาะแต่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยวเท่านั้น แต่เป็นสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบกับธุรกิจในเกือบทุกอุตสาหกรรมทั่วโลก และเป็นผลให้บริษัทมีผลขาดทุน 1,773 ล้านบาท ในไตรมาสแรกของปี 2563 แต่บริษัทยังได้รักษาฐานะทางการเงินของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งอยู่เสมอ โดยปัจจุบัน บริษัทยังมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอยู่ที่ 22,200 ล้านบาท อีกทั้งวงเงินกู้ยืมอีกกว่า 27,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องในการดำเนินงานให้กับบริษัทในระยะที่ได้รับผลกระทบนี้  อย่างไรก็ตาม ผลจากการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2563 ที่มีผลขาดทุน ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ปรับเพิ่มสูงขึ้นมาที่ 1.6 เท่า แต่บริษัทยังคงมีเป้าหมายที่จะควบคุมให้ไม่เกิน 1.3 เท่า

และล่าสุดบริษัทได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นกู้ในการแก้ไขข้อกำหนดเกี่ยวกับหน้าที่การดำรงอัตราส่วนทางการเงินที่ระบุในข้อกำหนดสิทธิ หรือ Covenant Waiver ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ไตรมาส 2-4 ของปีนี้ เพื่อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้กับบริษัท และเพื่อไม่ให้บริษัทผิดข้อกำหนดในการดำรงอัตราส่วนทางการเงินภายใต้ข้อกำหนดสิทธิ โดยบริษัทได้ตั้งเงื่อนไขเพื่อสร้างความมั่นใจกับเจ้าหนี้ ได้แก่ การลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง โดยจะต้องไม่ทำ M&A มากกว่า 3% ของมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมด และไม่ก่อหนี้เพิ่มมากว่า 150,000 ล้านบาทต่อไตรมาส

ซึ่งการประชุมผู้ถือหุ้นกู้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และยังได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นกู้ ซึ่งมีความเข้าใจต่อนโยบายและแผนการดำเนินงานของบริษัทเป็นอย่างดี โดยบริษัทจะรักษาระเบียบวินัยทางการเงินอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ สถานการณ์ รวมไปถึงการจ่ายดอกเบี้ยและการจ่ายคืนเงินต้นของผู้ถือหุ้นกู้อย่างเคร่งครัด เช่นเดียวกับเจ้าหนี้และสถาบันการเงินต่างๆที่ยังคงให้การสนับสนุนและเข้าใจในสถานการณ์ของบริษัท ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนี้ จะทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งทางการเงินที่เพียงพอสำหรับการเติบโตของธุรกิจในอีก 3 ปีข้างหน้าด้วย

เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน และให้สามารถกลับมามุ่งเน้นในการดำเนินงานของบริษัทเพื่อที่จะเติบโตต่อไปในอนาคตอย่างมั่นคง บริษัทจึงได้มีออกแผนจัดหาเงินทุนสำหรับ 3 ปีข้างหน้า เป็นจำนวนเงินรวม 25,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถออกได้เสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ โดยการเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมผ่านแนวทางการการเสนอขายหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น หรือ RO วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท และการออกหุ้นกู้คล้ายทุน หรือ Perpetual bond เสนอขายกับนักลงทุน วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท รวมถึงการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ครั้งที่ 7 หรือ MINT-W7 วงเงิน 5 พันล้านบาท ที่จะมีการแปลงสภาพในช่วง 3 ปีตั้งแต่ปี 2563-2565 ซึ่งจะได้นำเสนอผู้ถือหุ้นของบริษัทพิจารณาอนุมัติในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 27/2563 ในวันศุกร์ที่ 19 มิถุนายนนี้

นอกจากนี้ บริษัทได้มีการปรับลดกระแสเงินสดจ่ายให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งค่าใช้จ่ายพนักงาน ค่าเช่า และอื่นๆ รวมถึงปรับลดงบลงทุนรวมในปี 2563 ลงมาอยู่ที่ 10,000 – 11,000  ล้านบาท จากเดิมตั้งไว้กว่า 17,000 ล้านบาท โดยได้เลื่อนแผนการใช้งบลงทุนเป็นปีต่อไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์ และจะชะลอแผนการซื้อกิจการ หรือ M&A ในปีนี้ เพื่อรักษากระแสเงินสด และไม่ก่อหนี้เพิ่ม อีกทั้งได้งดการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2562 รวมทั้งได้มีการเจรจากับเจ้าหนี้ในการขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้

ขณะที่ปัจจุบัน สถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายในหลายประเทศ ทำให้มีการเปิดประเทศและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารในประเทศจีน กลับมาฟื้นตัวขึ้นเป็นบวก ประเทศสเปนที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อกลุ่มโรงแรม NH Hotel Group  รวมทั้งในประเทศไทยที่มีการผ่อนปรนระยะที่ 3 ทำให้ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ร้านค้า รวมทั้งการเดินทางข้ามจังหวัดเพื่อการท่องเที่ยวสามารถกลับมาเปิดให้บริการตามปกติ ทำให้บริษัทสามารถกลับมาเปิดดำเนินธุรกิจได้บางส่วนแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้โรงแรมของบริษัทในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น โรงแรมอนันตรา หัวหิน รีสอร์ท และอีกหลายแห่ง มียอดจองห้องพักและแพ็กเกจพิเศษจากลูกค้าคนไทยเป็นจำนวนมาก สะท้อนความต้องการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทย และหากมีการผ่อนระยะ 4 ในเร็วๆนี้ รวมทั้งมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศของภาครัฐด้วย ที่จะเป็นปัจจัยบวก ซึ่งบริษัทมีแผนจะได้จัดกิจกรรมทางการตลาดและโปรโมชั่นเพื่อสนับสนุนการใช้จ่ายของกลุ่มลูกค้าคนไทยที่เหมาะสมต่อไป

www.mitihoon.com