EP ชี้กำไรQ2อู้ฟู่-เร่งเครื่องพลังงานข้ามชาติ พิกัดเป้า 5.10บ.

370

มิติหุ้น-กูรูหุ้นจาก บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” EP เป้า 5.10 บาท ชี้หลังย้ายกลุ่มอุตสาหกรรม มีระดับ P/E ต่ำและถูกมาก เมื่อเทียบกับหุ้นโรงไฟฟ้าขนาดใกล้เคียงกันในตลาดฯ ถือเป็นผลบวกหากพิจารณาการเข้าลงทุน คาดงบไตรมาส 2/63 กำไรแจ่ม ฟากผู้บริหาร “ยุทธ ชินสุภัคกุล”มั่นใจรายได้ปี 63 โตเกิน 30% สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง

ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) ให้ราคาเป้าหมายที่ 5.10 บาท โดยมองว่าการย้ายหมวดอุตสาหกรรมฯจากหมวดสิ่งพิมพ์ไปยังหมวดพลังงาน คาดเป็นบวกต่อ Sentiment การลงทุน เนื่องจากการย้ายจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่แนวโน้มชะลอตัวไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังเติบโต ขณะที่ PE อาจถูก Re-rate ขึ้น เมื่อทำการพิจารณาเปรียบเทียบกับกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าซึ่งมีขนาดกำลังการผลิตและราคาที่ใกล้เคียงกัน    ส่วนธุรกิจสิ่งพิมพ์ และบรรจุภัณฑ์กระดาษในไตรมาส 2 ปีนี้คาดชะลอตัวลงบ้าง แต่คาดว่าจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง 2563

นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP)  เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่า บริษัทฯยังคงมองหาโอกาสการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มแหล่งที่มารายได้ประจำ (Recurring Income) และกระจายความเสี่ยงธุรกิจ ผลักดันให้ภาพรวมผลการดำเนินงานในอนาคต เติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา ทางประชุมคณะกรรมการบริษัท ก็ได้มีการพิจารณาและมีมติอนุมัติให้บริษัท EPVN W1 (HK) Company Limited (“EPVN W1”) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทย่อยของ EP   ดำเนินการเข้าลงนามในสัญญาซื้อหุ้น โครงการลม  Huong Linh 3 และ 4 ซึ่งต่างมีกำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ รวมเป็น 60 เมกะวัตต์ จะเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทปีละประมาณ 450 ล.บ. กำไรสุทธิ EIRR กว่าร้อยละ 15  โดยคาดว่าภายในครึ่งหลังปี 2563  ทางบริษัทฯ ยังมีโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาความเป็นไปได้อีกไม่น้อยกว่า 200 MW

สำหรับส่วนภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2563 บริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากผลกระทบของโรคไวรัสโควิด-19ได้อย่างแน่นอน โดยบริษัทฯตั้งเป้ารายได้เติบโต 30% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 2,103.73 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการมีรายได้ที่แน่นอนจากธุรกิจโรงไฟฟ้า และมีรายได้เพิ่มขึ้นจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเชื่อว่าจะมีแนวโน้มการเติบโตสูงอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต

www.mitihoon.com