คิงส์เมน “K” ส่งซิกนับถอยหลัง ใช้สิทธิแปลงวอร์แรนต์ “K-W2” รอบแรก ส.ค.นี้

151

มิติหุ้น – นายวงศกร พิเศษสิทธิ์ ผู้อำนวยการอาวุโสและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ.จํากัด (มหาชน) (“K”) ผู้ประกอบธุรกิจออกแบบและตกแต่งงานแบบครบวงจร 4 ประเภท ประกอบด้วย1.ธุรกิจงานตกแต่งภายใน (Interiors), 2.ธุรกิจงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ (Exhibitions), 3.ธุรกิจการตลาดทางเลือก (Alternative Marketing) และ 4.ธุรกิจงานพิพิธภัณฑ์และสวนสนุกแนวคิด (Museums & Thematic Park) เปิดเผยว่า ภายหลังที่บริษัทฯออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ครั้งที่ 2 (K-W2) โดยมีอายุ ปี นับแต่วันที่ออกและเสนอขาย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 79,922,412 หน่วย ในอัตรา หุ้นสามัญต่อ หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยสามารถใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญในทุก ๆ เดือนนั้น                

ทางบริษัทฯขอแจ้งไปยังผู้ถือหุ้นว่า ภายในเดือนสิงหาคมนี้ จะครบกำหนดระยะเวลาในการใช้สิทธิแปลงสภาพ K -W2 รอบแรกในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 โดยบริษัทฯได้เตรียมเปิดให้ผู้ถือหน่วยแจ้งความจำนงในการใช้สิทธิ K-W2 ได้ระหว่างวันที่ 24-30 สิงหาคม 2566 ที่อัตราการใช้สิทธิ 1 หน่วยวอร์แรนต์ต่อ 1 หุ้นสามัญ ในราคาใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญ 0.80 บาทต่อหุ้น และได้กำหนดใช้สิทธิ์ในครั้งที่ ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 สามารถแจ้งความจำนงในการใช้สิทธิ K-W2 ได้ระหว่างวันที่ 23-29 พฤศจิกายน 2566  ครั้งที่ 3 สามารถใช้สิทธิ์แปลงสภาพ ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 โดยสามารถแจ้งความจำนงในการใช้สิทธิ K-W2 ได้ระหว่างวันที่ 22-28 กุมภาพันธ์ 2567 และจะทำการซื้อขาย K-W2 วันสุดท้ายคือ วันที่ 18 เมษายน 2567 ก่อนที่ผู้ถือหุ้นจะใช้สิทธิ์ครั้งสุดท้าย ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ดังนั้นจะต้องแจ้งความจำนงเพื่อใช้สิทธิแปลง K-W2 ระหว่างวันที่ 29-30 เมษายน และวันที่ 1-13 พฤษภาคม 2567

สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการใช้สิทธิแปลงสภาพ K-W2 ในครั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตในอีก 1 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าเม็ดเงินจากการระดมทุนภายหลังผู้ถือหุ้นมีการแปลงสภาพหมดตามสิทธิประมาณ 60 ล้านบาท ซึ่งส่งผลดีต่อบริษัทฯในการนำเม็ดเงินดังกล่าวไปใช้เป็นเงินทุนเพื่อหมุนเวียนสำหรับการต่อยอดและรองรับการขยายโครงการต่าง ๆ ในอนาคต ทั้งนี้หากมีโครงการใหม่ๆ เข้ามาในช่วงกลางปีหรือปลายปีนี้  บริษัทฯ ก็สามารถนำเม็ดเงินดังกล่าวมาต่อยอดการทำงานได้อย่างลงตัว 

นายวงศกร ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่ไตรมาส 2/2566 เป็นต้นไป บริษัทฯ จะกลับมาโดดเด่นในเรื่องการรับงานตกแต่งภายใน (Interiors) มากยิ่งขึ้น โดยล่าสุดคว้างาน Interiors ในห้างสรรพสินค้าย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งมีมูลค่าโครงการประมาณ 40 ล้านบาท โดยงานดังกล่าวเป็นโครงการร่วมทุนกับ กลุ่มบริษัทพันธมิตร โดยงานดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯสามารถรับรู้รายได้เข้ามาภายในไตรมาส 3/2566 นี้ทันที    

ซึ่งในช่วงก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ได้รับงานจากกลุ่มบริษัท มิราเคิล ซึ่งเป็นงาน Interiors เลานจ์ ในสนามบินสุวรรณภูมิ ภายในโครงการอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1 : SAT-1) มูลค่า 65 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 5 เดือน (พฤษภาคม-กันยายนนี้) โดยงานดังกล่าว บริษัทฯทอยรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 2/2566นี้  ส่วนงาน Interiors ภายในห้างสรรพสินค้า 2 โครงการก่อนหน้านี้ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 20 ล้านบาทนั้น จะทยอยส่งมอบงานและรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 2-3/2566 นี้ด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ในไตรมาส และ ไตรมาส 3 นี้ บริษัทฯจะรับรู้รายได้จากกลุ่มงาน Interiors เข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมรับงานตกแต่งภายในของโรงแรมแห่งหนึ่ง มูลค่ากว่า 42 ล้านบาท ในช่วงเดือนกันยายนนี้ ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ในงานดังกล่าวเข้ามาในปีนี้ ประมาณ 16 ล้านบาท    ส่วนรายได้ที่เหลือจะรับรู้ต่อเนื่องในปี 2567 

 อย่างไรก็ตาม จากภาพรวมของธุรกิจในปี 2566 นี้ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะสามารถกลับมาเทิร์นอะราวด์ได้อีกครั้ง โดยได้ตั้งเป้าหมายรายได้รวมเติบโตแตะระดับ 840 ล้านบาท โดยล่าสุดบริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ประมาณ 400 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ประมาณ 90% ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 2567 อีกทั้งปัจจุบันบริษัทฯ มี Backlog ที่ secure revenue ทั้งปีแล้วประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งในเหลือของปีนี้ ดังนั้นยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า การกลับมาเทิร์นอะราวด์ในปีนี้ไม่ใช่เรื่องที่ยากจนเกินเอื้อม ฉะนั้นในช่วงระยะเวลาที่เหลือจึงเชื่อว่าจะมีดีลงานใหม่เข้ามาเพิ่มในพอร์ตอีกเพียง 250 ล้านบาท  ซึ่งจะเป็นไปตามเป้าหมายอย่างแน่นอน ประกอบกับในช่วงไตรมาส4/2566 เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ที่สำคัญมีงานโปรเจคใหญ่ อย่าง Motor Expo ที่บริษัทฯคาดว่าจะได้รับงานมูลค่านี้ ประมาณ 80-120 ล้านบาท เช่นเดียวกัน

“บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้รวมแตะระดับ 840 ล้านบาท จากสัดส่วนรายได้ 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ กลุ่มงาน Interiors ประมาณ 150 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 15-20% ของรายได้รวม และกลุ่มงาน Exhibition รวมถึงงาน Event ประมาณ 690 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 80-85% ของรายได้รวม ซึ่งจุดเด่นของ คือการที่บริษัทฯ สามารถทำได้ทั้ง 2 ส่วน คืองาน Exhibitions และงาน Interiors ประกอบกับด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ ทำให้ตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้าได้ครบทุกมิติ”

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon