GFC หุ้น IPO น้องใหม่ ชูจุดเด่น “แพทย์เฉพาะทาง”

876

จากสถานการณ์ปัจจุบันประชากรชาวไทยมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะค่านิยมมีลูกเมื่อพร้อมซึ่งให้ความสำคัญกับความสำเร็จและความพร้อมก่อนการมีบุตร ส่งผลให้ประชากรไทยมีบุตรช้าลง

กรมอนามัย ระบุว่า ปี 2566 ไทยประสบปัญหาจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่องและอาจจะต่ำกว่า 500,000 คน จากเดิมในปี 2565 ที่มีจำนวน 502,107 คน แต่หากย้อยกลับไปในปี 2506-2526 ไทยมีเด็กเกิดใหม่ไม่ต่ำกว่าปีละ 1 ล้านคน ขณะที่จำนวนการเกิดลดลงจำนวนผู้สูงอายุก็เพิ่มขึ้น โดยในปี 2564 ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์ คือ มีประชากรที่อายุ 60 ปีขึ้นไป เกิน 20% ของจำนวนประชากร

 

จุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร ด้วยอัตราความสำเร็จสูงถึง 72.58%

บมจ.เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ หรือ GFC เผยว่า จากข้อมูลของกลุ่มบริษัท พบว่า ในปี 2564 สัดส่วนผู้มีบุตรยากที่เข้ามารับบริการรักษาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้มีบุตรยากที่อยู่ในช่วงอายุ 35-39 ปี คิดเป็น 44.74% รองลงมาเป็นกลุ่มที่อยู่ในช่วงอายุ 40-45 ปี คิดเป็น 24.74% ตามมาด้วยช่วงอายุ 30-34 ปี คิดเป็น 23.03% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มบริษัทได้รับผลเชิงผลบวก จากการที่ประชากรไทยมีบุตรช้าลง

 

 

จุดแข็งของ GFC ที่ทำให้แตกต่างคนอื่น คือ มีทีมแพทย์ที่จบมาเฉพาะทางและทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ช่วยเพาะเลี้ยงตัวอ่อน ประกอบกับมีเทคโนโลยี (EEVA) ซึ่งเป็นการนำระบบ AI จากประเทศสหรัฐฯ มาช่วยประเมินตัวอ่อน โดยได้พัฒนาให้สามารถแสดงผลข้อมูลวิเคราะห์คุณภาพตัวอ่อนได้อย่างแม่นยำ รวมถึงมีที่ปรึกษาค่อยให้คำแนะนำกับลูกค้าหลังเข้าพบแพทย์

ส่งผลให้มีอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์สูงถึง 72.58% และเป็นที่นิยมของคู่รักดาราไทย อาทิ “โย่ง อาร์มแชร์ และ ก้อย วลัยลักษณ์”, “เจมส์ เรืองศักดิ์ และ ก้อย นัชชา” , “เป๊ก เปรมณัช และ นิว นภัสสร” ซึ่งช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับ GFC

 

ตลาดท่องเที่ยวสำหรับผู้มีบุตรยากทั่วโลก โตเฉลี่ย 15.2%

ด้าน นายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GFC กล่าวว่า ธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัท แบ่งเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ 1. การให้บริการตรวจเบื้องต้นก่อนให้คำแนะนำหรือรักษา 2. การให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยวิธี IUI 3. การให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยวิธี ICSI 4. การให้บริการตรวจพันธุกรรมของตัวอ่อน NGS 5. การให้บริการแช่แข็งไข่และการฝากไข่

ซึ่งวิธี ICSI ถือว่าเป็นที่นิยมที่สุดและเป็นรายได้หลักของบริษัท โดยข้อมูลจาก Allied Market Research ได้คาดการเติบโตของการรักษาแบบ ICSI ของโลก ในปี 2567 จะมีมูลค่ากว่า 13,918 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีมูลค่า 8,516 ล้านเหรียญสหรัฐ โตเฉลี่ยปีละ 10.3% รวมถึงคาดว่าคาดว่าตลาดท่องเที่ยวสำหรับผู้มีบุตรยากทั่วโลกในปี 2567 จะมีมูลค่ากว่า 5,926 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.8 แสนล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 15.2% ต่อปี

ขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่เป็นจุดหมายสำคัญ อาทิ มาเลเซีย อินเดีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น โดยเฉพาะไทยที่มีชื่อเสียงด้านบุคลากรการแพทย์ระดับโลก และมีอัตราค่ารักษาพยาบาลถูกว่าประเทศคู่แข่งเฉลี่ย 178% รวมถึงเป็น 1 ในเทรนด์ทางการแพทย์ที่ภาครัฐต้องการผลักดัน เพื่อให้เป็น Medical Hub

 

เตรียมขยายสาขารองรับฐานลูกไทยและเพิ่มฐานลูกค้าต่างชาติ

ทั้งนี้ GFC ถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการทางการแพทย์ สำหรับผู้มีปัญหาบุตรยากของไทยรายแรกใน ตลท. โดยเข้าซื้อขายในตลาด mai เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 60 ล้านหุ้น คาดว่าจะเริ่มเข้าเทรดใน Q3/66 โดยมีวัตถุประสงค์ ในการขยายคลีนิคเพิ่มอีก 2 สาขา จากเดิมที่มี 1 สาขา ซึ่งรองรับลูกค้าไปแล้วราว 80%

โดยสร้างคลินิกสาขาสุวรรณ-พระราม 9 มูลค่า 450.87 ลบ. และ คลินิกสาขาอุบลราชธานี มูลค่า 35 ลบ. ซึ่งได้ร่วมทุน (JV) กับแพทย์ในพื้น โดยถือสัดส่วน 60% เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนในพื้นที่รวมถึงจังหวัดใกล้เคียง และรองรับฐานลูกไทยเพิ่มฐานลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าจีน ซึ่งเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาไทยมาก ประกอบกับนโยบายของจีนที่ให้ประชากรมีบุตรคนที่ 3 ซึ่งจะเป็นตัวหนุนให้ธุรกิจเติบโตขึ้น

กลุ่มเป้าหมายหลักคือกลุ่มคู่สมรสไทยที่อยากมีบุตร มีสัดส่วน 71.78% ,กลุ่มผู้ที่วางแผนมีบุตรในอนาคต 17.16% ,กลุ่มคู่สมรสไทยกับต่างชาติที่อยากมีบุตร 8.93% และกลุ่มคู่สมรสต่างชาติที่อยากมีบุตร 2.13% โดยเล็งเห็นถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้น

 

เดินหน้าสู่การเป็นหุ้น Growth Stock

อย่างไรก็ดีด้วยค่านิยมของคนไทยประกอบกับการเติบโตของการรักษาแบบ ICSI และตลาดท่องเที่ยวสำหรับผู้มีบุตรยาก ทำให้ GFC ถือว่าการเติบโตอย่างยั่งยืนและจัดเป็นหุ้น Growth Stock ที่สามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากผลการดำเนินการ 3 ปีย้อนหลัง ที่โตเฉลี่ย 13.37%

โดยปี 2563 มีรายได้ 214.42 ลบ. กำไรสุทธิ 66.55 ลบ. ปี 2564 มีรายได้ 242.12 ลบ. กำไรสุทธิ 69.63 ลบ. และปี 2565 มีรายได้ 275.91 ลบ. กำไรสุทธิ 65.68 ลบ. แต่ทั้งนี้ที่กำไรสุทธิปี 65 ลดลง แต่รายได้เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการนำเงินไปลงทุนในการซื้อตึกสำหรับเตรียมสร้างคลินิกสาขาสุวรรณ-พระราม 9

 

 

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon