บล.ทรีนีตี้ แนะลงทุนหุ้นโค้งสุดท้ายของปี เก็บหุ้นปันผลรับฟันด์โฟลว์ไหลเข้าปีหน้า มองปี 2567 หุ้นไทย ชนะหุ้นโลกถูกเป็นอันดับ 3 ในรอบ 15 ปี เป้าหมายดัชนีอยู่ที่ 1560 – 1650 จุด ต่างชาติจะหวนซื้อสุทธิหลังขายหนักกว่า 1.7 แสนล้าน

262

มิติหุ้น – ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนโค้งสุดท้ายของปีว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกจะผันผวนสูงมากในช่วงสั้น Fund Flow ยังคงไหลออกจากตลาดพันธบัตร และตลาดหุ้นทั่วทั้งภูมิภาค โดยมีสินทรัพย์เสี่ยงตอบสนองต่อข่าวทุกอย่างเป็นข่าวร้าย ซึ่งในเชิงของ Asset Allocation ในช่วงสั้น 1-2 เดือน แนะนำลงทุนให้ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น หรือเทอมฟันด์ และหาจังหวะลงทุนในหุ้นไทยที่มีปันผลสูง เนื่องจากราคาหุ้นได้ลดลงมากแล้วทำให้หุ้นที่มีปันผลสูงจะได้รับฟันด์โฟลว์ไหลเข้า เมื่อเหตุการณ์ตะวันออกกลางคลี่คลาย ในเชิงของหุ้นที่จะ outperform จะมีลักษณะ low Beta, เงินปันผลในอนาคตสูง (Forward Dividend) และค่า P/E ต่ำ

“ในปี 2566 ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนติดลบกว่า 13% เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นผ่านการขึ้นดอกเบี้ยหลายๆ ครั้งของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก จะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond Yield) สูงสุดในรอบกว่า 10 ปี สภาพคล่องภายในที่ลดลงอย่างมาก ความไม่มีเสถียรภาพของปัจจัยทางการเมืองในช่วงครึ่งปีแรก ความตึงเครียดของภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นไทย กว่า 1.7 แสนล้านบาท เกือบ 84% ของเม็ดเงินที่ไหลเข้าในปี 2565 แต่ซื้อพันธบัตรเบาบางแค่  2 หมื่นล้านบาท” ดร.วิศิษฐ์ กล่าว

ดร.วิศิษฐ์ กล่าวว่า สำหรับทิศทางตลาดหุ้นในปี 2567 มีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยที่เป็นบวกจาก Valuation ใน Forward P/Book Value ที่ถูกเป็นอันดับ 3 ในรอบ 15 ปี การเติบโตของ GDP ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกเติบโตลดลง ดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มถึงจุดอิ่มตัว และจะปรับตัวลดลงในกลางปี 2567 บริษัทจดทะเบียนมีกำไรต่อหุ้นที่เติบโตกว่า 15% ในปี 2567 เมื่อเปรียบเทียบติดลบ 5% ในปี 2566

หุ้นไทยจะ outperform หุ้นโลก เนื่องจาก 1.การเติบโต GDP ของไทยจะดีกว่าค่าเฉลี่ยหุ้นโลก 2.Valuation หุ้นไทยยังคงไม่แพงในแง่ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี และในเชิง Earning Yields Gap (ส่วนกลับของ P/E กับผลตอบแทนพันธบัตร) โดยคาดการณ์ดัชนี SET index เป้าหมายในปี 2567 ที่ระดับ 1650 โดยอาศัยสมมติฐาน  EPS 2025 ที่ 113 บาท และ Bond Yields 10 ปีที่ 3.3% แต่ถ้าเป็น Forward PE ที่ 13.4x และดอกเบี้ย RP ที่ 2.25% จะได้ดัชนีเป้าหมายที่ 1560

ปีหน้านักลงทุนต่างชาติ จะขายตลาดหุ้นไทยน้อยลง เนื่องจากปี 2566 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ ในตลาดหุ้นไทยกว่า 1.6-1.7 แสนล้านบาท หลังจากเป็นฝ่ายซื้อสุทธิกว่า 2 แสนล้านบาทในปี 2565 ถือได้ว่านักลงทุนต่างชาติเป็นฝ่ายขายสุทธิกว่า 8 แสนล้านบาทในรอบ 13 ปี ตั้งแต่การใช้ QE เป็นต้นมา

นอกจากนี้ มองว่า ในปี 2567 นักลงทุนจะเป็นฝ่ายซื้อตราสารทุนสุทธิ แต่จะขายตราสารหนี้สุทธิ โดยปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติถือพันธบัตรไทยประมาณ 9.4 แสนล้านบาท หรือ 11.6% และน้ำหนักของพันธบัตรประเทศไทยใน JP Morgan Local Government Bond index (GBI-EM GD) อยู่ที่ 10% แต่ในช่วงระยะเวลา 10 เดือน นับตั้งแต่ 28 มิถุนายน 2024 น้ำหนักของพันธบัตรประเทศอินเดียจะถูกรวมเข้าคำนวณในดัชนี อาจจะทำให้ Fund Flow ออกจากพันธบัตรไทย 1.7 แสนล้านบาท เพื่อถูกแทนที่โดยน้ำหนักการลงทุนของพันธบัตรประเทศอินเดีย

สำหรับการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางต่างๆ ได้ถึงจุดสูงสุดแล้ว มองดอกเบี้ย Fed Fund ว่า จะเริ่มจะลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% ในไตรมาส 3 ปีหน้า เมื่อ Fed หยุดการขึ้นดอกเบี้ย ตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนในทางบวก ในเอเชียรวมทั้งในประเทศไทยมองเงินเฟ้อปี 2567 เริ่มกลับสู่ระดับ 2% ใกล้เคียงกับระดับการเกิด COVID และเริ่มกลับสู่ระดับที่สบายใจของธนาคารกลางทั่วเอเชีย ซึ่งเป็นภาวะที่เปลี่ยนจากเงินเฟ้อสู่ระดับ Low – flation

ในส่วนของ Bond Yields พันธบัตรของสหรัฐฯ มองว่าจะเข้าสู่ระดับ Peak ในไตรมาส 4 เช่นเดียวกัน Fed Fund ของสหรัฐฯ จะถึงจุดสูงสุดในไตรมาส 4/2566 ส่วนราคาน้ำมันที่ระดับราคา US$ 100/Barrel จะนำไปสู่ Demand Destruction หรือภาวะน้ำมันแพงนำไปสู่การใช้น้ำมันที่ลดลง ส่วนค่าเงิน US$ อยู่ใน Zone ราคาแพงหรือมูลค่าเกินความเป็นจริง แต่จะยังคงอยู่ในระดับสูงอยู่ แต่การปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและเงินเฟ้อที่ชะลอตัวจะเป็นไปอย่างช้าๆ

ปัจจัยบวก ปัจจัยลบ  ปัจจัยที่เป็น unknown ที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทย

ปัจจัยบวก

1) คาดการณ์การเติบโตของกำไรต่อหุ้นหรือ EPS ของหุ้นไทยเติบโตที่ 15% ในปี 2567 สู่ระดับ 113 บาทต่อหุ้น จากที่เติบโตติดลบ -5.4% ในปี 2566

2) มีโอกาสมากกว่า 60% ที่ Fed Fund Rate ถึงจุดสูงสุดไปแล้วที่ 5.25-5.5% และมีโอกาสต่ำกว่า 40% ที่ Fed อาจจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในช่วงเดือน ธ.ค. 2023

3) คาดการณ์ GDP ไทยเติบโตที่ 3.6% ในปี 2024 เมื่อเปรียบเทียบกับ 3% ในปี 2023 ในขณะที่ประเทศอื่น เช่น จีน สหรัฐ Euro ต่างมีการเติบโตที่ถดถอยในปี 2024 เมื่อเปรียบเทียบ 2023

4) ธปท.มีมุมมองเชิงบวกเพิ่มขึ้นอย่างมากต่อแนวโน้มอุปสงค์ภายในประเทศ สาเหตุหลักจากมาตรการลดค่าครองชีพและมาตรการกระตุ้นการบริโภค

5) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่แท้จริง (เมื่อลบเงินเฟ้อแล้ว) หรือ Real Bond Yields ของไทยจะสูงกว่าของสหรัฐเกือบ 0.5% ค่าเงินบาทอาจจะแข็งค่าขึ้น

ปัจจัยลบ

1) อัตราผลตอบแทนเงินปันผลของตลาดหุ้นต่างๆทั่วโลก ยังต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ การที่ตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับขึ้นได้ Bond Yield 10ปี สหรัฐจะต้องปรับตัวลดลงสู่ระดับ 3% ต้นๆ จากระดับปัจจุบันเกือบ 5%

2) มาตรวัดความเสี่ยงตลาดหุ้นผ่าน VIX index บ่งบอกว่าตลาดหุ้นโลกยังไม่ได้ Pricing ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างเต็มที่ (ยังไม่ถึงครึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ indicators สมัย COVID-19)

3) ความไม่สงบสุขในตะวันออกกลางถ้ายืดเยื้อ และเป็นสาเหตุให้ราคาน้ำมันทะลุ US$ 100 ต่อบาร์เรลเหมือนปี 2011 อาจจะเป็นสาเหตุให้หุ้นใน Emerging Market ปรับตัวลดลง 9% ใน 12 เดือน

4) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านดิจิทัลวอลเล็ตอาจจะทำให้ Bond Yields ในไทยสูงขึ้น

ปัจจัยที่เป็น unknown

1) ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปลายปี 2024 ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับไต้หวัน

2) โอกาสที่การสู้รบระหว่างฮามาสและอิสราเอลที่จะขยายวง กลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์กับอิสราเอล เช่น Hezballoh เข้าร่วมและอาจนำไปสู่สงครามตัวแทนระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน เศรษฐกิจโลกเปราะบางเกินกว่าที่จะรับมือสถานะ “สองสงคราม”

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon