ผู้เสียหายรายย่อยร้องอธิบดีDSIเอาผิดกองทุนถึงคุกแบบวนรัชต์
 ฐานผลาญเงินมนุษย์เงินเดือนLTFไปกับหุ้นSTARK



102

มิติหุ้น  –  มนุษย์เงินเดือนลงทุนผ่าน LTF ไม่ขอทน ยื่นหนังสือDSIให้รับคดีกองทุนผลาญเงินไปกับหุ้น STARK เป็นคดีพิเศษ หลังจากร้องทุกข์ ก.ล.ต.ผ่านไปครึ่งปีเรื่องยังเงียบ โอดกองทุนซื้อหุ้นเจ้าปัญหายอดดอยแต่มาขายยอดหญ้า ขาดทุนยับนับ 3,500ล้าน ราคากองทุนติดลบหนักที่สุดกว่ารายอื่น ส่งผลขาดกความเชื่อมั่นประชาชนหวั่นผวาไม่กล้าซื้อหน่วยลงทุนประหยัดภาษี อธิบดี DSI นับหนึ่งตรวจสอบผิดพรบ.หลักทรัพย์ และกฎหมายอาญาฐานฉ้อโกง-ยักยอกทรัพย์ ตรวจเส้นทางรับเงินทอนตามครหาหรือไม่ ถ้าจำเป็นต้องให้กลต.ร่วมมือด้วย

 

เมื่อเวลา09.30 น.วั นนี้ (13กุมภาพันธ์) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) กลุ่มผู้ถือหน่วยลงทุนที่เสียหายจากการลงทุนในกองทุนแห่งหนึ่งที่ได้ลงทุนในหุ้นSTARK ได้เข้าพบร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาการอธิบดีกรม DSI ให้รับกรณีนี้เป็นคดีพิเศษ และให้ดำเนินคดีต่อกองทุน ผู้บริหาร ผู้จัดการกองทุนฐานกระทำผิดต่อ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มาตรา 124/1 และกฎหมายอาญามาตรา343 ฐานฉ้อโกง และมาตรา 353 ฐานยักยอกทรัพย์ มีโทษทั้งจำทั้งปรับ

ทางด้านพ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมDSI กล่าวหลังจากรับหนังสือร้องเรียนจากตัวแทนกลุ่มผู้เสียหายว่า DSIไม่ได้นิ่งนอนใจในกรณีSTARK ได้รับเรื่องไว้เป็นคดีพิเศษ ดำเนินคดีอย่างจริงจังต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวานนี้เพิ่งแจ้งความดำเนินคดีและควบคุมตัวนายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ เจ้าของและผู้ถือหุ้นใหญ่ควบคุมตัวไว้ในเรือนจำระหว่างการพิจารณา

 

ส่วนกรณีที่กลุ่มผู้เสียหายจากกองทุนมาร้องทุกข์ให้เป็นคดีพิเศษนั้น ในชั้นต้นDSIจะรับหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ และเริ่มตรวจสอบว่ากองทุนดังกล่าวมีพฤติการณ์ฉ้อโกง ยักยอกทรัพย์ รับเงินทอน ซื้อขายหุ้นโดยทุจริตและทำให้ประชาชนผู้ถือหน่วยลงทุนเสียหาย เข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ หากเข้าข่ายก็พร้อมรับเป็นคดีพิเศษต่อไป ส่วนการที่ผู้ถูกกล่าวหาถูกร้องเรียนว่ามีการกระทำผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ด้วยนั้น และกลุ่มผู้เสียหายเคยไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับก.ล.ต.มาแล้วนั้น ทางDSIก็คงจะได้ประสานงานกับทางก.ล.ต.ต่อไป เนื่องจากเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมายโดยตรง แต่DSIก็พร้อมอำนวยความยุติธรรมในกรณีที่ก.ล.ต.จะประสานงานมาในความผิดเกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.หลักทรัพย์

 

นายสิทธา (ขอสงวนนามสกุล) หนึ่งในตัวแทนผู้เสียหายยื่นหนังสือร้องทุกข์ ต่อกับอธิบดีDSI ระบุรายละเอียดในหนังสือว่า กลุ่มผู้เสียหายหลายหมื่นคนที่ลงทุนผ่านกองทุนประหยัดภาษี(LTF)ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมแห่งหนึ่ง เพราะเชื่อมั่นว่ามีสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของประเทศเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพื่อหวังจะนำไปใช้ประโยชน์ในการหักลดหย่อนภาษี และออมลงทุนไว้เป็นเงินใช้จ่ายยามเกษียณต้องมาเสียหายอย่างหนักจากการกระทำผิดกฎหมายของผู้ถูกกล่าวหา โดยได้เคยรวมตัวกันไปยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 บัดนี้เวลาผ่านมาครึ่งปี เรื่องเงียบหาย แต่กลับมีเจ้าหน้าที่ของกองทุนคู่กรณีติดต่อเกลี้ยกล่อมมาทางโทรศัพท์แทน เมื่อหมดที่พึ่งจึงมาร้องทุกข์ต่ออธิบดีDSI เพราะเห็นว่ามีผลงานดำเนินคดีกรณีSTARKไม่ไว้หน้าใคร ล่าสุดออกหมายจับดำเนินคดีนายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ เจ้าของผู้ถือหุ้นใหญ่STARKส่งตัวไปเรือนจำ ทำให้เกิดความหวังว่าจะได้รับความยุติธรรมบ้าง จึงมาร้องทุกข์ต่ออธิบดีDSI

ตัวแทนผู้เสียหายบรรยายในหนังสือร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีว่า ข้าพเจ้าและคณะ รวมทั้งประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ ขอให้DSIรับเรื่องเป็นคดีพิเศษ เพราะมีความเสียหายวงกว้างต่อประชาชนนับหมื่น ความเสียหายนับหมื่นล้านบาท และกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง และขอให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวน แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อผู้จัดการกองทุน คณะผู้บริหาร และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมดังกล่าว(ขอสงวนชื่อในเอกสารแถลงข่าว) ในฐานความผิดต่อ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มาตรา 124/1 เนื่องจากผู้กระทำความผิด ไม่ได้จัดการกองทุนรวมด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังรักษาประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน โดยใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุน และกระทำการโดยทุจริต ทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเสียผลประโยชน์อันพึงได้รับ  ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และโทษปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 



 

นอกจากนั้นเป็นการกระทำผิดฐานฉ้อโกงตามกฎหมายอาญามาตรา 341 ผู้โดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน3ปี ปรับไม่เกิน6หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา343 กระทำผิดด้วยการแสดงข้อความอั้นเป็นเท็จต่อประชาชน ระวางโทษจำคุกไม่เกิน5ปี ปรับไม่เกิน1แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

และกระทำผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 353 ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใดๆโดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน3ปี หรือปรับไม่เกิน6หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

กับขอให้DSI เป็นตัวแทนข้าพเจ้าและประชาชนผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อในกรณีเดียวกัน หรือทำนองเดียวกันดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดให้เยียวยาชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นในทางแพ่งอีกด้วย

ทั้งนี้ข้าพเจ้า และประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อ ประสบผลขาดทุนในการลงทุนเฉพาะปี2566ที่เกิดเหตุลบ21.93%  ซึ่งข้าพเจ้า และประชาชน ต่างเข้าใจข้อจำกัดความเสี่ยงในการลงทุนผ่านกองทุนรวมดีว่า การลงทุนย่อมมีทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยง

 

อย่างไรก็ตามความเสียหายดังกล่าวในกรณีนี้ ไม่ได้เป็นไปตามสภาพการลงทุนตามปกติวิสัย แต่มาจากการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว ดังต่อไปนี้

1.ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจลงทุนหน่วยลงทุนLTFผ่านกองทุนดังกล่าวเพื่อวัตถุประสงค์ในการประหยัดภาษี และเก็บออมสำหรับวัยเกษียณอายุ เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าบลจ.นี้มีสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของประเทศ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มีฐานะมั่นคงแข็งแกร่ง แต่การณ์กลับปรากฎว่าผลงานการลงทุนต่ำกว่ากองทุนประเภทเดียวกันอย่างชัดเจน กองทุนนี้มีผลดำเนินงานงวดรอบ 1 ปีลบ 21.93% (ค่าเฉลี่ยของกลุ่มกองทุนประเภทเดียวกัน ลบเพียง 0.49 เนื่องจากกองทุนนี้ไปลงทุนในหุ้นของบมจ.สตาร์คคอร์ปอเรชั่น- STARKไว้มาก และกระทำผิดกฎหมาย มีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่ได้จัดการกองทุนรวมด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังรักษาประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน โดยใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ มีการกระทำผิดในด้านความขัดแย้งทางผลประโยชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุน และผิดกฎหมายอาญาฐานฉ้อโกงและยักยิกทรัพย์

 2.ผู้กระทำความผิดยังบังอาจกระทำผิดกฎหมายอาญา โดยได้มีพฤติการณ์ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อข้าพเจ้า และผู้ถือหน่วยลงทุนด้วย โดยจะเห็นได้จากกองทุนนี้ได้เข้าไปลงทุนหุ้นของบมจ.STARK เอาไว้มากถึง 916 ล้านหุ้น ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2565 โดยมีราคาต้นทุนตั้งแต่3.72บาท ไปถึงบาท ต่อมาเมื่อเกิดปัญหาSTARKยกเลิกดีลการซื้อกิจการบริษัทLEONIประเทศเยอรมนีในเดือนธันวาคม 2565 แล้ว กองทุนอื่นๆ ต่างพากันเทขายหุ้นSTARKออกเพราะเห็นว่าไม่เป็นไปตามแผนงาน และอาจกระทบต่อผลดำเนินงานได้ แต่กองทุนนี้กลับถือครองหุ้นเอาไว้จำนวนมาก กระทั่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้พักการซื้อขาย4เดือน มาเปิดให้ซื้อขาย1เดือนสุดท้าย ระหว่างวันที่ 1ถึง30มิถุนายน 2566 ทางผู้กระทำผิดก็ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อผู้ถือหน่วยลงทุนว่าเหลือหุ้นในมือเพียงเล็กน้อย 

แต่ต่อมาผู้กระทำผิดได้แจ้งต่อสำนักงานก.ล.ต.ในวันที่23และ27มิถุนายน 2566 ว่ายังคงถือครองหุ้นไว้มากถึง 670 ล้านหุ้น และได้ขายออกไปหมด ก่อนจะถึงวันสุดท้ายที่ตลาดฯให้ซื้อขายได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ซึ่งช่วงดังกล่าวราคาหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับราคา ถึง สตางค์ ก็จึงน่าจะเหลือมูลค่าที่ขายได้ไม่เกิน 20 ล้านบาท จากต้นทุนที่มีอยู่ราว 3,850 ล้านบาท ประมาณการณ์ว่าคงจะขาดทุนสุทธิมากกว่า3,500ล้าน 

3.ผู้กระทำผิด ไม่ได้จัดการกองทุนรวมด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังรักษาประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน โดยใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ เห็นได้จากแถลงการณ์ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2566 ว่า”..บริษัทได้ส่งทีมนักวิเคราะห์เข้าชมโรงงาน  Phelps Dodge ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ STARK เพื่อประเมินความสามารถในการดําเนินกิจการ โดยประเมินเบื้องต้นว่าบริษัทยังคงสามารถดําเนินกิจการได้ จึงไม่ได้ขายหุ้นออกไปทั้งหมด และ รอการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่ผ่านการรับรองโดยผู้สอบบัญชีในวันที่ 16 มิถุนายน 2566  เพื่อใช้ประเมินการลงทุนในหุ้น STARK ต่อไป

ซึ่งในความเป็นจริงปรากฏว่าผู้กระทำผิด ขาดความระมัดระวังในการรักษาประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน โดยใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ เพราะขณะที่บลจ.อื่นๆแจ้งว่าได้ขายหุ้นSTARKออกไปหมดแล้ว แต่ผู้กระทำผิดยังคงถือครองหุ้นไว้จำนวนมากถึง670ล้านหุ้น และได้ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จตามข้อและยังขาดความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ เพราะยังเห็นว่ากิจการSTARKยังจะสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ จึงไม่ได้ขายหุ้นออกไปทั้งหมด และยังถือครองหุ้นไว้จำนวนมาก จนท้ายที่สุดต้องขายออกไปในราคาที่แทบจะสิ้นมูลค่าแล้ว อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายทุจริต ทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเสียผลประโยชน์อันพึงได้รับ 

4.ผู้กระทำผิดยังมีพฤติการณ์ที่ส่อให้เห็นว่าอาจจะมีการทุจริต โดยทำการซื้อขายหุ้นที่ไม่โปร่งใส ผิดจากวิสัยของการบริหารกองทุนโดยทั่วไป โดยทำการไล่ซื้อราคา STARK ในราคาสูง ปริมาณมาก กระจุกตัว และยังซื้อกระจุกตัวในหุ้นเครือSTARKอีกหลายตัว ที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ในเครือเดียวกับSTARK เช่น บมจ.TOA และDPAINT เป็นต้น ซึ่งผิดจากปกติวิสัยของการลงทุน

5.นอกจากนั้นยังพบด้วยว่าผู้กระทำผิดได้มีพฤติการณ์ที่ส่อไปในทางไม่สุจริตและมีความขัดแย้งทางผลประโยนชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุนหลายกรณี เช่น การเข้าไปลงทุนหุ้นSKYแบบซื้อบิ๊กล็อตราคา30.25บาท ตอนที่มีการไล่ราคาหุ้นขึ้นไปเพียงแค่2เดือน ทั้งที่ราคาทรงๆตัวอยู่เขต10บาทนานเป็นปีแต่ไม่ยอมลงทุนซื้อตอนราคาหุ้นถูกๆ  หรือซื้อบิ๊กล็อตหุ้นADDตอนมีการไล่ราคาขึ้นไป30บาท แล้วมาตัดขายขาดทุนที่10บาท หรือพฤติกรรมไล่ราคาซื้อหุ้นSAMART SAMTEL ในราคา30ถึง45บาท เมื่อปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไปทางลบอย่างมีนัยยะสำคัญ ก็ไม่ปรับพอร์ตใดๆ เพิ่งจะมาขายตัดขาดทุนแถวราคา3ถึง5บาทในต้นปีนี้ ทั้งที่กิจการกำลังฟื้นตัว

อันเป็นพฤติการณ์กระทำผิด กฎหมายพรบ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา124/1 และกฎหมายอาญามาตรา 343 และมาตรา353 ไม่ได้จัดการกองทุนรวมด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังรักษาประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน โดยใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุน และกระทำการโดยทุจริต ทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเสียผลประโยชน์อันพึงได้รับ  และอาจกระทำผิดต่อมาตราอื่นๆของพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ

 

ข้าพเจ้าและประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อ เคยเข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 ได้โปรดอำนวยความยุติธรรมในฐานะเป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่ตามกฎหมายในการคุ้มครองผู้ลงทุน ผู้ถือหน่วยลงทุนให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และกอบกู้ฟื้นฟูความเชื่อมั่นกลับมาสู่ตลาดทุนโดยไว ด้วยการดำเนินการสืบสวนสอบสวน และเป็นตัวแทนของข้าพเจ้าและประชาชนผู้ถือหน่วยลงทุนท่านอื่นๆที่เป็นเหยื่อประสบความเสียหายในกรณีทำนองเดียวกัน แต่เวลาผ่านมากว่าครึ่งปีแล้ว ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด สำนักงานก.ล.ต.ไม่เคยสอบถามข้อมูลใดๆจากข้าพเจ้าและผู้สียหายเพิ่มเติม ข้าพเจ้าและประชาชนผู้เสียหายจึงเกรงว่าจะไม่ได้รับความยุติธรรม จึงหวังให้DSIได้รับเป็นคดีพิเศษ แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อผู้จัดการกองทุน คณะผู้บริหาร และบลจ.บัวหลวง ในฐานความผิดต่อ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มาตรา 124/1 และมีพฤติการณ์กระทำการโดยทุจริตผิดกฎหมายอาญามาตรา343 และ353 ทำให้ข้าพเจ้าและประชาชนผู้ถือหน่วยลงทุนเสียผลประโยชน์อันพึงได้รับ  ซึ่งมีระวางโทษทั้งจำทั้งปรับ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ กับขอให้DSI เป็นตัวแทนข้าพเจ้าและผู้เสียหายในกรณีเดียวกัน หรือทำนองเดียวกันดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดให้เยียวยาชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นในทางแพ่งให้ครบถ้วนอีกด้วย

พร้อมกันนี้ข้าพเจ้าได้แนบหลักฐานในการร้องเรียน เป็นบัญชีการลงทุน หรือจำนวนผลขาดทุนอันเกิดจากการกระทำผิดกฎหมายมาพร้อมกันนี้แล้ว และทั้งยินดีจะให้ถ้อยคำ และเอกสารที่จำเป็นเกี่ยวข้องตามที่ท่านได้ร้องขอต่อไป



ผู้แถลงข่าว นายสิทธา สุวิรัชวิทยกิจ (กรุณาสงวนนามสกุลในการนำเสนอข่าวทางสื่อมวลชน) ตัวแทนผู้ลงทุนผู้เสียหาย และผู้ร้องเรียน เบอร์โทรศัพท์มือถือติดต่อ 0922696644 หรือติดต่อข้อมูลเพิ่มเติมกับที่ปรึกษาการลงทุนของข้าพเจ้า ดร.ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ประธานบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุนต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด ใบอนุญาตเลขที่ 12888 โทรศัพท์มือถือ 0825859888

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon