
มิติหุ้น – นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTAM) เปิดเผยว่า ในภาวะดอกเบี้ยขาลงนั้น โดยปกติถือว่าเป็นปัจจัยบวกสำหรับการลงทุนในหลักทรัพย์กลุ่ม yield play เช่น Infrastructure Fund และ REIT เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะเป็นการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตได้แล้ว ยังถือเป็นโอกาสในการสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตจากการได้รับเงินปันผลที่มีความสม่ำเสมอเพื่อชดเชยกับการลดลงของผลตอบแทนจากตราสารหนี้ รวมถึงการที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดต่ำลงนั้น ส่งผลให้ Infrastructure Fund และ REIT มีโอกาสพิจารณาเพิ่มการเข้าลงทุนในทรัพย์สินใหม่ โดยใช้เงินลงทุนจากการกู้ยืมเงินมาผสมกับการออกจำหน่ายหน่วยลงทุนเพิ่มทุนได้อีกทางหนึ่ง เนื่องจากมีต้นทุนทางการเงินที่ลดต่ำลง
โดยในช่วงที่ผ่านมา KTAM ยังคงสามารถสร้างผลงานได้ดีต่อเนื่องในการบริหารกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน จึงได้กำหนดจ่ายปันผลและเงินลดทุนจากกำไรสุทธิสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีวันที่ 1 ก.ค. – 30 ก.ย. 68 และกำไรสะสม จำนวน 4 กองทุน ในวันที่ 15 ธ.ค. 68 และ 25 ธ.ค. 68 รวมจำนวนกว่า 1,100 ล้านบาท ดังนี้
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 1 กองทุน ได้แก่ กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ตลาดไท (TTLPF) ซึ่งลงทุนในสิทธิการเช่าของสิ่งปลูกสร้างบางส่วนในโครงการตลาดไท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 60 ในอัตรา 0.4934 บาทต่อหน่วย
และกลุ่มกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน จำนวน 3 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี (KBSPIF) ซึ่งลงทุนในสิทธิในผลประโยชน์จากการประกอบกิจการไฟฟ้าในสัดส่วนร้อยละ 62% ของรายได้ค่าไฟฟ้าจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของ บจก.ผลิตไฟฟ้าครบุรี กับ กฟผ. และภายในกลุ่มน้ำตาลครบุรี โดยโรงไฟฟ้าแห่งนี้เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล ที่ใช้กากอ้อยซึ่งเป็นวัสดุเหลือใช้จากการผลิตน้ำตาลเป็นเชื้อเพลิงหลัก สัญญาเข้าลงทุนของกองทุนมีระยะเวลาถึงปี 2582 จึงเหมาะกับนักลงทุนที่มีมุมมองการลงทุนระยะยาว มองหาโอกาสรับกระแสรายได้จากทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 21 ในอัตรา 0.2470 บาทต่อหน่วย
ลำดับถัดมาคือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือชุดที่ 1 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGATIF) ลงทุนในสิทธิในรายได้ค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 โดยกำหนดจ่ายปันผลครั้งที่ 39 ในอัตรา 0.0519 บาทต่อหน่วย และจ่ายเงินลดทุนครั้งที่ 17 ในอัตรา 0.1500 บาทต่อหน่วย รวมจ่ายเงินปันผลและเงินลดทุน จำนวน 0.2019 บาทต่อหน่วย
โดยทั้งกองทุน KBSPIF และ EGATIF มีราคาตลาดที่ยังคง laggard โดยต่ำกว่า NAV หรือมูลค่าทางบัญชี (Book Value) รวมทั้งต่ำกว่าราคา PAR และไม่มีความเสี่ยงด้านความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากไม่มีการกู้ยืม (Zero Gearing Ratio) รวมถึงไม่มีความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ (Operational Risk) เนื่องจากทั้ง 2 กองทุนมีรายได้แบบ Passive Income จากส่วนแบ่งรายได้ของโรงไฟฟ้า และไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) และค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (CAPEX) ใดๆ โดยทั้ง 3 กองทุนข้างต้น มีกำหนดจ่ายปันผลพร้อมกันในวันที่ 15 ธ.ค. 68
และอีก 1 กองทุนที่จะจ่ายปันผลในวันที่ 25 ธ.ค. 68 คือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) ลงทุนในสิทธิในรายได้ 45% ของรายได้ค่าผ่านทางสุทธิ ที่จัดเก็บได้จากโครงการทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษบูรพาวิถี ซึ่งบริหารโดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) โดยสัญญาเข้าลงทุนของกองทุนจะสิ้นสุดปี 2591 กองทุนนี้จึงเหมาะกับนักลงทุนที่มีมุมมองการลงทุนระยะยาว มองหาทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานที่มีโอกาสสร้างรายได้ตามการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการทางพิเศษทั้งใน 2 เส้นทางนี้ โดยกำหนดจ่ายปันผลครั้งที่ 28 ในอัตรา 0.1140 บาทต่อหน่วย
ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ทุกวันทำการได้ที่ บลจ.กรุงไทย โทร. 0-2686-6100 กด 9 หรือศึกษารายละเอียดได้ที่ www.ktam.co.th
คำเตือน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต / ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจในลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon






























