SCC วางเป้าปีนี้ยอดขายโต5 % อัดงบลงทุน 6 หมื่นล้านบาท  

86

มิติหุ้น-SCCตั้งเป้ายอดขายปี62 โต5% คาดความต้องการใช้ปูนซีเมนต์โต 3-5% ส่วนความต้องการใช้ปูนในภูมิภาคอาเซียนโต 5-10% คาดใช้งบลงทุน 6 หมื่นล้านบาท เน้นลงทุนเคมีภัณฑ์ในเวียดนาม ปรับปรุงประสิทธิภาพสายการผลิต จ่อออกหุ้นกู้ 1.5 หมื่นล้านบาท เล็งซื้อกิจการเพิ่มคาดสรุปลงทุนขั้นสุดท้ายในอินโดฯ ปีหน้า

 

          ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC โดยนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า ปี 62 ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 5% จากปี 61 ที่มียอดขายราว 478,438 ล้านบาท เนื่องจากมองว่า ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ภายในประเทศจะเติบโตขึ้น 3-5% ตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และการผลิตที่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นหลังจากได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร รวมถึงธุรกิจแพ็กเกจจิ้งมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ

ขณะที่ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในภูมิภาคอาเซียนคาดว่าโต 5-10% ไม่ว่าจะเป็น อินโดนีเซีย เวียดนาม เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา ได้มีการขยายการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเช่นกัน

สำหรับงบลงทุนในปี 62 คาดว่าจะใช้งบลงทุนราว 60,000 ล้านบาท โดยในส่วนนี้ใช้ลงทุนในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่ประเทศเวียดนามราว 30,000 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ และวิจัย 5,000 ล้านบาท ที่เหลือสำหรับลงทุนขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเครื่องจักร โดยงบลงทุนนั้นจะมาจากกระแสเงินสดที่มีอยู่ในมือราว 57,000 ล้านบาท และการกู้เงินจากสถาบันการเงิน

พร้อมกันนี้บริษัทยังเตรียมออกหุ้นกู้ราว 15,000 ล้านบาทอายุหุ้นกู้ 4 ปี เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่กำลังจะหมดอายุเดือนเมษายนนี้ ส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA จะรักษาให้อยู่ในระดับไม่เกิน 2.5 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.7 เท่า

นอกจากนี้ SCC ยังคงเดินหน้าการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งการซื้อกิจการ และลงทุนใหม่ โดยการซื้อกิจการนั้นสนใจธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง วัสดุก่อสร้าง เป็นหลัก ขณะที่การลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย อยู่ระหว่างการเจรจาร่วมลงทุนกับบริษัท พีที จันทรา แอสซรี จำกัด ในการขยายการลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ แห่งที่ 2 คาดว่าจะได้ข้อสรุปการลงทุนขั้นสุดท้ายต้นปี 63

สำหรับความต้องการปิโตรเคมีในตลาดโลกยังไม่สามารถประเมินได้เนื่องจากต้องรอความชัดเจนเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ในช่วงเดือนมีนาคมนี้ก่อน อย่างไรก็ตามเพื่อรองรับความเสี่ยงยังได้มองหาตลาดใหม่เพิ่มเติม เช่น อินเดีย จีน และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมพร้อมรองรับความเสี่ยงด้านราคาน้ำมัน และค่าเงินบาทที่มีความผันผวนโดยการสร้างเสถียรภาพทางการเงิน การบริหารจัดการความเติบโตของธุรกิจในระยะยาว โดยการพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม

นอกจากนี้ SCC ยังได้ตั้งสำรองเงินตามมาตรฐานบัญชีไว้หลังจากมีการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ที่มีการปรับอัตราค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างและเกษียณอายุ ไว้ราว  2,000 ล้านบาท ซึ่งจะดำเนินการทันทีมีผลบังคับใช้และจะทำให้ส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัท