CPN เผย Q1/63 ได้รับผลกระทบล็อคดาวน์-ลุยปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์

248
  • รายได้รวมลดลงร้อยละ 5% และกำไรสุทธิลดลง 8.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเริ่มล็อคดาวน์ในวันที่ 22 มีนาคม 2563 โดยมีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดผลกระทบจากสภาวะการดำเนินธุรกิจที่ท้าทาย
  • ผลกระทบจากมาตรการล็อคดาวน์ยังคงต่อเนื่องไปในไตรมาส 2 โดยยังคงพยายามดูแลร้านค้าผู้เช่า และคู่ค้า ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN รายงานผลประกอบการ  ไตรมาส 1 ปี  2563 แม้มีรายได้และกำไรสุทธิที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่บริษัทฯ ยังคงวิสัยทัศน์การเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่องในระยะยาว โดยมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างทันท่วงทีเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น  เพื่อดูแลและสร้างความมั่นใจให้กับผู้มีส่วนได้เสียในทุกภาคส่วนได้  ประกอบกับการบริหารการเงินและสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับสถานการณ์การดำเนินงานที่ไม่แน่นอนในอนาคต พร้อมเดินหน้าแผนการพัฒนาธุรกิจที่หลากหลาย (Diversified Businesses) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยงของ CPN กล่าวว่า “บริษัทฯ ได้มีการปรับการลงทุนและพัฒนาธุรกิจที่หลากหลาย (Diversified Businesses) มาอย่างต่อเนื่อง โดยผลกระกอบการในไตรมาสแรกนี้ ยังไม่รับรู้ถึงผลกระทบจากการปิดศูนย์การค้าในช่วงที่รัฐบาลประกาศล็อคดาวน์จากวิกฤตการณ์ COVID-19 ทั้งนี้ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี  2563 ของซีพีเอ็น มีรายได้รวม 11,423 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 4,592 ล้านบาท โดยหลักมาจากรายได้ที่มิได้เกิดขึ้นเป็นประจำ และรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น หากไม่รวมรายการที่มิได้เกิดขึ้นเป็นประจำ บริษัทฯ มีรายได้รวมลดลงร้อยละ 0.5% และกำไรสุทธิลดลง 8.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งในช่วงที่ศูนย์การค้าต้องปิดให้บริการชั่วคราวตามประกาศภาครัฐ บริษัทฯ ยังได้ช่วยแบ่งเบาภาระของร้านค้า โดยการยกเว้นค่าเช่าให้ร้านค้าที่ไม่สามารถดำเนินการได้ รวมถึงปรับลดค่าเช่า 10-50% ตามผลกระทบที่เกิดขึ้น ส่งผลให้รายได้ที่เกิดขึ้นจากการเช่าและบริการของศูนย์การค้าลดลงประมาณ 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับผลกระทบที่ได้รับจากการล็อคดาวน์จะรับรู้ตัวเลขได้ในไตรมาสที่ 2 ต่อไปด้านการดำเนินแผนธุรกิจต่อจากนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศูนย์การค้าภายใต้การบริหารของบริษัทฯ ทุกสาขาให้เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตวิถีใหม่หรือ ‘Center of NOW Normal Life’ เพื่อเป็นสถานที่ที่สะอาดและปลอดภัยสูงสุด ที่ลูกค้าทุกคนมั่นใจมาใช้บริการและใช้ชีวิตได้ตามปกติ”

ทังนี้ บริษัทฯ มีการบริหารจัดการลดค่าใช้จ่ายทุกด้าน และปรับแผนงานโครงการใหม่ให้เหมาะสม เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อบริษัทฯ รวมทั้งได้เตรียมความพร้อม และเตรียมแผนธุรกิจสำหรับการกลับมาให้บริการหลังจากสถานการณ์คลี่คลายลง เพื่อให้มั่นใจในการเติบโตที่ต่อเนื่องของบริษัทฯ และเพื่อรักษาผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นอย่างเต็มที่ และเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจำนวน 0.80 บาทต่อหุ้น ซึ่งลดลงจาก 1.30 บาทต่อหุ้น ที่ประกาศเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 โดยได้พิจารณาจากสถานการณ์ COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ

ในระหว่างที่เกิดวิกฤต COVID-19 ซีพีเอ็น ได้ให้ความร่วมมือกับภาครัฐตามนโยบายจำกัดพื้นที่ที่มีความเสี่ยง โดยได้ปิดศูนย์การค้าชั่วคราวทั้ง 33 แห่งในประเทศไทย และ 1 แห่งในประเทศมาเลเซีย รวม 34 แห่ง โดยมีระยะเวลาการปิดศูนย์ฯที่แตกต่างกันตามแต่ละพื้นที่ เริ่มทยอยปิดศูนย์ฯ ชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม – 16 พฤษภาคม 2563 โดยยังคงเปิดให้บริการในส่วนที่จำเป็นแก่ลูกค้า รวมทั้งปิดให้บริการโรงแรมทั้ง 2 แห่ง ได้แก่ เซ็นทารา อุดรธานี และ ฮิลตัน พัทยา ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 จากสถานการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง และรัฐบาลประกาศมาตรการล็อคดาวน์จำกัดการเดินทางภายในประเทศ

ที่สำคัญ ซีพีเอ็น มีความห่วงใย ใส่ใจในความปลอดภัยของทุกคนในสังคม และในฐานะที่เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกของไทย บริษัทฯ ได้ริเริ่มการจัดทำแผนแม่บท ‘เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ’ เพื่อยกระดับมาตรการความสะอาด ปลอดภัยในเชิงรุกตอบรับ New Normal Lifestyle ที่เกิดขึ้น และสร้างบรรทัดฐานใหม่แห่งวงการค้าปลีก โดยบริษัทฯ แบ่งปันแผนแม่บทนี้ให้ทุกคน ทุกองค์กร ทุกร้านค้า สามารถนำไปปรับใช้ได้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ โดยมีหลายภาคส่วนนำไปปรับใช้ในวงกว้างจนกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของสังคม ไม่เพียงเท่านี้ ซีพีเอ็น มีความห่วงใยใส่ใจ และให้การช่วยเหลือทุกฝ่าย ทั้งลูกค้า คู่ค้า พนักงาน ชุมชนและสังคม เริ่มตั้งแต่การจัดให้มีบริการที่จำเป็นเพื่อให้การดำเนินชีวิตของลูกค้าทุกคนเป็นไปได้อย่างปกติ เช่น การเปิดให้บริการชั้นซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร และร้านค้าที่จำเป็น พร้อมร่วมมือกับร้านค้าในศูนย์ฯ จำหน่ายอาหารราคาถูกลด 20% ทุกเมนู เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพ ลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้บริโภค การช่วยเหลือร้านค้าและคู่ค้า ด้วยการลดค่าเช่าและยกเว้นค่าเช่า รวมทั้งสนับสนุนยอดขายร้านค้าโดยเพิ่มช่องทางการขายในรูปแบบ Pick Up & Delivery ผ่านช่องทาง call center หรือ LINE @CentralLife ของซีพีเอ็น และบริการ Food Delivery

ซีพีเอ็นยังคงให้การสนับสนุนพนักงานอย่างเต็มที่ โดยคงไว้ซึ่งสถานะการจ้างงานและอัตราเงินเดือน รวมทั้งมีมาตรการที่เข้มงวดด้านสุขอนามัยในสถานที่ทำงาน เพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน อีกทั้งจัดทำประกันสุขภาพเพิ่มเติมความคุ้มครองให้กับพนักงานทุกคน สำหรับการช่วยเหลือชุมชนและสังคม มีการจัดกิจกรรม CSR ต่างๆเพื่อช่วยเหลือ และแสดงความห่วงใยต่อชุมชนและสังคม อาทิ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ มอบหน้ากากอนามัยให้โรงพยาบาล, กิจกรรมประกอบหน้ากาก Face Shield กว่า 60,000 ชิ้น โดยอาสาสมัครพนักงานศูนย์การค้าเซ็นทรัลฯ ทั่วประเทศ เพื่อมอบให้แก่บุคคลากรทางการแพทย์ตามโรงพยาบาลต่างๆ, ร่วมกับพันธมิตรส่งมอบถุงน้ำใจและอาหารกล่องเพื่อให้กำลังใจและแสดงความห่วงใยแก่บุคคลากรทางการแพทย์ตามโรงพยาบาล และบ้านพักคนชรา นอกจากนี้ ยังเปิดพื้นที่ฟรีช่วยเหลือเกษตรกร และ SMEs นำสินค้ามาจำหน่ายได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกร และ SMEs ให้มีช่องทางระบายสินค้า สนับสนุนคนไทยอุดหนุนคนไทย สร้างงาน สร้างรายได้ ให้ชุมชนและเกษตรกรและเป็นการนำสินค้าคุณภาพดี มารวมไว้ให้ลูกค้าได้เลือกซื้ออีกด้วย

ปัจจุบัน CPN บริหารจัดการศูนย์การค้า 34 แห่ง มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 1.8 ล้านตารางเมตร  (อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการ, ต่างจังหวัด 18 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ) ศูนย์อาหาร 30 แห่ง อาคารสำนักงาน 7 อาคาร โรงแรม 2 แห่ง โครงการที่พักอาศัยอีก 12 โครงการ โดยมี 9 โครงการที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับศูนย์การค้า ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมและทาว์นโฮมภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT  VILLE, ESCENT PARK VILLE และ ESCENT TOWN  นอกจากนี้ CPN เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLAND ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีสินทรัพย์ที่ดำเนินการแล้ว และสินทรัพย์ที่รอการพัฒนาอยู่บนทำเลศักยภาพสูงในกรุงเทพฯ

บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ตามแผนระยะยาวที่วางไว้ โดยโครงการมิกซ์ยูสที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ได้แก่ เซ็นทรัลพลาซา อยุธยา (กำหนดเปิดปี 2564) เซ็นทรัลพลาซา ศรีราชา (กำหนดเปิดปี 2564) เซ็นทรัลพลาซา จันทบุรี (กำหนดเปิดปี 2565) และโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่ร่วมพัฒนากับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) บนทำเลทอง “ซุปเปอร์คอร์ ซีบีดี” ในกรุงเทพฯ โดยจะทยอยเปิดให้บริการในปี 2566-2567 เป็นต้นไป ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินงาน ภายใต้วิสัยทัศน์ “Center of NOW Normal Life” ศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่ใส่ใจเรื่องความสะอาด ปลอดภัยสูงสุด เป็นสถานที่ที่ผู้คนยังสามารถมาใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย พร้อมตอบรับไลฟ์สไตล์ยุค New Normal ได้อย่างสมบูรณ์ สำหรับแผนการลงทุนและเป้าหมายทางธุรกิจในระยะ 5 ปี (ปี 2563-2567) บริษัทฯ จะมีการปรับแผนการลงทุน และแผนพัฒนาโครงการใหม่ที่ยังไม่ได้ประกาศ ทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Mixed-use Development) โครงการที่พักอาศัย รวมถึงแผนการปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มมูลค่า เพื่อเตรียมความพร้อม และรักษาสถานะทางการเงิน และสภาพคล่องให้รองรับการดำเนินธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายจาก COVID-19 รวมทั้งศึกษาโอกาสการลงทุนธุรกิจใหม่ในรูปแบบอื่น การเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนในต่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ มาเลเซีย และเวียดนาม รวมถึงศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เพื่อขยายช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่และสอดคล้องกับแผนการเติบโตตามเป้าหมายในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

www.mitihoon.com