ส่องศึกทำเนียบขาวผ่านตลาดการเงิน

223

เหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึง 1 เดือน สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ผู้เล่นในตลาดการเงินกำลังจับตามองอย่างใจจดใจจ่อ เนื่องจากผลการเลือกตั้งจะหล่อหลอมการคาดการณ์เกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจ การค้า สิ่งแวดล้อม รวมถึงด้านการต่างประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้าท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาดแรงงานทั้งภาคบริการและการผลิตของโลกที่กำลังเข้าสู่กระบวนทัศน์ใหม่หลังฟื้นไข้จากวิกฤติ COVID-19 ทั้งนี้ วิธีเลือกตั้งของสหรัฐฯ เป็นการออกเสียงทางอ้อมผ่านคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) โดยประชาชนผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกผู้ที่จะทําการเลือกประธานาธิบดี ขณะที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้นำสูงสุดที่มีคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง 270 เสียงขึ้นไปจะได้เป็นประธานาธิบดี  และเมื่อย้อนกลับไปดูการเลือกตั้งปี 2559 โดนัลด์ ทรัมป์คว้าชัยชนะอย่างพลิกความคาดหมายด้วยคะแนน 306 เสียง

ตลาดการเงินโลกเผชิญเหตุการณ์มากมายในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดฉากสงครามการค้าเต็มรูปแบบกับจีนและอีกหลายกลุ่มเศรษฐกิจ ดัชนีตลาดหุ้นวออล์สตรีทที่ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อัตราการว่างงานที่ต่ำสุดในรอบเกือบครึ่งศตวรรษ การประท้วงเพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมของคนผิวสี มาจนถึงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งผู้นำสหรัฐฯ ระบุเมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมว่าเขาและสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งติดเชื้อ ขณะที่คะแนนความนิยมของ โจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตขยับทิ้งห่างทรัมป์หลังจากการโต้วาทีรอบแรกและข่าวการติดเชื้อของทรัมป์ (กราฟด้านล่าง) แม้อาจมีการตั้งข้อสังเกตว่าสื่อกระแสหลักยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับทรัมป์ แต่นักลงทุนมองว่ามีโอกาสน้อยที่ผลการเลือกตั้งในปีนี้จะพลิกความคาดหมายอย่างที่เคยเกิดขึ้นในปี 2559 อย่างไรก็ดี เรายังคงประเมินอย่างระมัดระวังสำหรับรัฐที่ผู้ใช้สิทธิ์ค่อนข้างก้ำกึ่งในการสนับสนุนพรรคการเมือง (Swing States) โดยคาดว่าคะแนนจากรัฐเหล่านี้อาจอยู่ที่ราว 100-110 เสียง นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความไม่แน่นอนเรื่องสุขภาพของทรัมป์ ถึงแม้ว่าเขาจะกลับมาทำงานที่ทำเนียบขาวแล้วในสัปดาห์นี้ และความเสี่ยงที่ว่าเขาอาจเดินเกมคัดค้านผลการเลือกตั้งหากเขาพ่ายแพ้อย่างสูสี

จากปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว เรามองว่าตลาดการเงินมีแนวโน้มผันผวนตลอดไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ขณะที่สมมติฐานหลักของเรา คือ ไบเดน จะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไปซึ่งจะส่งผลให้ในระยะถัดไป ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนลงเทียบกับสกุลเงินตลาดเกิดใหม่รวมถึงเงินบาท  จากท่าทีของไบเดนที่แม้อาจจะไม่ได้รอมชอมกับจีนอย่างชัดเจนแต่ถือว่าลดกระแสความขัดแย้งได้มากกว่าทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจปรับฐานลงเนื่องจากนโยบายของไบเดนที่เกี่ยวข้องกับการปรับขึ้นภาษีและกฎระเบียบลดการผูกขาด สำหรับตลาดพันธบัตรนั้น คาดว่าอัตราผลตอบแทนอาจขยับขึ้นบ้างจากแผนกระตุ้นทางด้านการคลังขนาดใหญ่ กรณีพรรคเดโมแครตได้เสียงข้างมากทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร แต่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงพยายามที่จะกดอัตราผลตอบแทนให้อยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน ภาวะเช่นนี้จะส่งผลให้การคาดการณ์เงินเฟ้อสูงขึ้นและหนุนราคาทองคำ

โดย คุณรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการ
ผู้บริหารฝ่ายส่งเสริมธุรกิจโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)

www.mitihoon.com