บลจ.กสิกรไทย เชื่อ ‘ตลาดกระทิงมา ถึงเวลาต้องลงทุน’ ชวนผู้ลงทุนกระจายลงทุนระยะยาวเติบโตตามเทรนด์โลก

1444

บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าปี 64 เติบโต 7% โดยมุ่งรักษาความเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจกองทุนรวม เชื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ชวนผู้ลงทุนก้าวข้ามความผันผวนในระยะสั้น แนะกระจายการลงทุนในระยะยาวผ่าน 6 กองทุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพอร์ต พร้อมเติบโตตามเทรนด์โลกในอนาคต

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าเติบโต 7% ในปี 64 โดยมุ่งรักษาความเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจกองทุนรวม ด้วยการ 1) รักษาฐานลูกค้าเดิมผ่านการแนะนำกองทุนที่เหมาะสมกับภาวะตลาด 2) ขยายฐานลูกค้าใหม่ผ่านการเปิดเสนอขายกองทุนตามความไลฟ์สไตล์และเทรนด์โลก 3) พัฒนาช่องทางการลงทุนดิจิตอล โดยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่บน App K-My Funds เพื่อให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น และ 4) นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการวิเคราะห์และบริหารจัดการกองทุนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อย่างไรก็ดี บลจ.กสิกรไทย เชื่อว่า ‘ตลาดกระทิงมา ถึงเวลาต้องลงทุน’ โดยหลังจากที่มีการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ได้สำเร็จและแจกจ่ายใช้ในหลายประเทศมากขึ้น ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวกลับมาในทิศทางที่ดีขึ้น

นายวศินกล่าวต่อไปว่า แม้ในปีที่ผ่านมาภาพรวมเศรษฐกิจโลกถดถอยเป็นอย่างมาก แต่ตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งทั่วโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่าเดิม ทำให้ผู้ลงทุนเริ่มสนใจย้ายไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศ (FIF) กันมากขึ้น และคาดว่าความสนใจจะมีต่อเนื่องไปในปีนี้ โดยให้น้ำหนักกับ 2 ธีมการลงทุน ได้แก่ 1) ธีม New Normal การแพร่ระบาดของโควิด-19 เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในวงกว้าง เช่น การให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ การใช้เทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน รวมถึงการทำงานและการศึกษานอกสถานที่ โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ กลุ่มเฮลธ์แคร์ (Health Care), อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) และการศึกษาออนไลน์ (Edutainment) เป็นต้น

และ 2) ธีมสองมหาอำนาจ สหรัฐฯและจีนต่างมีปัจจัยบวกสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯยังเป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนหลากหลายสัญชาติ มีน้ำหนักสูงถึง 46% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก ในขณะที่จีนมีข้อได้เปรียบตรงที่เป็นประเทศขนาดใหญ่ และมีการบริโภคภายในประเทศที่ค่อนข้างสูง รวมถึงมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ทั้งนี้ สำหรับกองทุนหุ้นไทย ยังคงเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Quality Growth และ High Potential for Recovery จากความคืบหน้าในการแจกจ่ายวัคซีน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต

บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้ผู้ลงทุนก้าวข้ามความผันผวนในระยะสั้น โดยใช้หลักกระจายการลงทุน พร้อมเติบโตตามเทรนด์โลกในระยะยาวผ่าน 6 กองทุนแนะนำ ประกอบด้วย กองทุนต่างประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิดเค พอสซิทีฟ เชนจ์ หุ้นทุน (K-CHANGE) กองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน (K-CHINA) และกองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน (K-USA) กองทุนผสม ได้แก่ กองทุนเปิดเค โกลบอล อินคัม (K-GINCOME) กองทุนหุ้นไทย ได้แก่ กองทุนเปิดเค สตาร์ หุ้นทุน (K-STAR) และกองทุนตราสารหนี้ ได้แก่ กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ พลัส (K-FIXEDPLUS)

แนะจัดพอร์ตลงทุนกระจายความเสี่ยง

โดยผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ควรให้น้ำหนักลงทุนในกองทุนต่างประเทศ 70% กองทุนหุ้นไทย 25% และกองทุนตราสารหนี้ 5% ส่วนผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ควรให้น้ำหนักลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ 65% กองทุนต่างประเทศ 25% และกองทุนหุ้นไทย 10% ทั้งนี้ การกระจายการลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน จะลดความผันผวนและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพอร์ตการลงทุนได้

“ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มฟื้นตัว จากความสำเร็จในการผลิตและแจกจ่ายวัคซีน การดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินและการใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ ซึ่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับอานิสงส์จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสู่ New Normal ทั้งการใช้ในชีวิตประจำวัน ความบันเทิง และการทำงาน ส่งผลให้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นกลุ่มนี้ยังคงมีความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังช่วยหนุนเอเชียรวมถึงไทย โดยหากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้เร็วก็มีโอกาสที่จะได้เห็นกำไรในบริษัทจดทะเบียนของไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด และทำให้ตลาดสามารถซื้อขายในระดับ Valuation ที่สูงได้ ทั้งนี้ คาดว่า SET Index ปลายปีจะปรับขึ้นแตะ 1,600 จุด ภายใต้ความคาดหวังเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย หลังจากเห็นความชัดเจนในการแจกจ่ายวัคซีน และการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกที่จะสนับสนุนการส่งออกของประเทศ” นายวศินกล่าว

นายวศินกล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ.กสิกรไทย มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ณ สิ้นปี 63 อยู่ที่ 1.40 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม 1.04 ล้านล้านบาท ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 1.96 แสนล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 1.69 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดจำแนกตามธุรกิจอยู่ที่ 74%, 14% และ 12% ตามลำดับ โดยยังคงครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม (ข้อมูลจาก AIMC ณ ธ.ค. 63)

ที่ผ่านมากระแส Digital Disruption ในอุตสาหกรรมกองทุนถือว่ามาช้ากว่าธุรกิจการเงินอื่นๆ อย่างไรก็ดี  บลจ.กสิกรไทย ได้ปรับตัวรองรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยใช้ช่องทางดิจิตอลเป็นหลัก เห็นได้จากจำนวนลูกค้าที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิตอล (Digital-based Users) มีประมาณกว่า 74% จากจำนวนลูกค้าที่มีธุรกรรมทั้งหมดในปีที่ผ่านมา รวมเป็นมูลค่าการซื้อขายกว่า 4.40 แสนล้านบาท ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ได้ตั้งเป้าจำนวนลูกค้าที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิตอลเพิ่มขึ้นอีก 20% ในปี 64