ภายหลังประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐ เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสร้างเสถียรภาพการเติบโตระยะยาวช่วง 10 ปีข้างหน้า หลังจากที่ก่อนหน้านี้ออกมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะสั้นที่ได้รับผลกระทบจาก COVID19 ไปแล้วมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของ โจ ไบเดน มี ดังนี้
1.โครงการ โครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง เช่น ถนน สะพาน การขนส่งสาธารณะ ท่าเรือ ท่าอากาศยาน และการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า 621,000 ล้านดอลลาร์ฯ
2.การแจกเงินโดยตรงให้กับชาวอเมริกันผู้สูงอายุและทุพพลภาพ 400,000 ล้านดอลลาร์ฯ
3.ขยายการเข้าถึงบรอดแบรนด์ และพัฒนาฝีมือแรงงาน 200,000 ล้านดอลลาร์ฯ
4.เพิ่มประสิทธิภาพระบบไฟฟ้า และประปา รวมถึงโครงการ Green House และ Green School 561,000 ล้านดอลลาร์ฯ
พัฒนาการผลิต, งานวิจัยและพัฒนา และการฝึกฝนอาชีพให้กับชาวอเมริกัน 480,000 ล้านดอลลาร์ฯ
อย่างไรก็ดี การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ จำเป็นต้องใช้เงินทุนมหาศาลเช่นเดียวกัน ซึ่งโจ ไบเดน จะมีการขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล จาก 21% เป็น 28% เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระยะ 10 ปีข้างหน้านี้
ฝ่ายวิจัย บล.ธนชาตระบุว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ดังกล่าวดังนี้
- เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวได้ดีขึ้น และอัตราเงินเฟ้อจะค่อยๆ เร่งตัวขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการวัสดุก่อสร้างที่ใช้ในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และกำลังซื้อผู้บริโภคที่ดีขึ้นผ่านการจ้างงานที่แข็งแรง เรามองหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มส่งออก และกลุ่มหุ้นที่มีรายได้อิงกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างราคาเหล็ก ปิโตรเคมี จะได้รับผลบวกจาก Bond Yield ที่เร่งตัวขึ้น และการบริโภคในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น อย่าง KBANK, SCB, BBL, KCE, HANA, GLOBAL, DOHOME, PTTGC และ IRPC
- การขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล จะกระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งในปีที่มีการขึ้นภาษี เราคาดว่าจะเห็นการ Rotation เม็ดเงินจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ มายังตลาดหุ้นเกิดใหม่ ที่ได้ผลบวกจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เติบโตได้ดี ผ่านอุตสาหกรรมส่งออก และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับสูงขึ้น แต่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีที่ปรับสูงขึ้น
- การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งรวมถึงการขยายสถานีเติมประจุไฟฟ้า (Charging Station) ของยานยนต์ไฟฟ้า จะยิ่งเร่งให้ผู้ผลิตยานยนต์ในปัจจุบัน ที่มีการพัฒนารถไฟฟ้าอยู่แล้ว ยิ่งเร่งการพัฒนาให้เร็วยิ่งขึ้น และทำให้ supply chain ทั่วโลกยิ่งต้องปรับตัวรับยานยนต์ไฟฟ้าเร็วกว่าเดิม โดยในประเทศไทยเองล่าสุด ก็มี Roadmap ในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเช่นกัน โดยกลุ่มหุ้นที่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ไฟฟ้า ในปัจจุบัน ได้แก่ EA, BANPU, BPP และ GPSC
ฝ่ายวิจัยคาดว่ากลุ่มหุ้นที่ได้ผลบวกจากนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของโจ ไบเดน และมีพื้นฐานเดิมที่ดีอยู่แล้ว มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงนี้ ซึ่งนอกจากการลงทุนหุ้นโดยตรง สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มกำลังซื้อ
ส่วนด้านบทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัสระบุว่า การที่ ประธานาธิบดี Biden ได้ประกาศความชัดเจนแผนลงทุน Infrastructure ขนาดใหญ่ในสหรัฐวงเงินรวม 2.25 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ(ราว 10%GDP สหรัฐ โดยรวมถือเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐในอนาคต แต่อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นสหรัฐ ทรงตัว Dow jones โดยถูกกดดันจากการที่รัฐบาลสหรัฐได้เผยแผนจะขึ้นภาษี Coporate Tax อยู่ที่ 28% จาก 21% (ตามที่เคยหาเสียงไว้ก่อนหน้า) แต่ปัจจัยที่ยังต้องติดตามต่อการลงทุนคือ
แนะติดตามผลประชุมโอเปก
1.ผลการประชุมกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน OPEC+ ตลาดและ ASPS คาดจะมีการขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตที่ 8.1 ล้านบาร์เรลต่อวันออกไปอีก 1 เดือน คือ พ.ค.64 หลังความต้องการใช้น้ำมัน Demand ยังคงได้รับแรงกดดันจาก การกลับมา Lockdown ในประเทศแถบยุโรป (ฝรั่งเศส เยอรมัน) ซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันอันดับ 2 รองจากสหรัฐ หาก OPEC+ ต่อระยะเวลาดังกล่าวเชื่อจะเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันดิบ แม้ช่วงสั้นราคาน้ำมันดิบยังถูกกดดัน คือ เมื่อวานนี้ราคาน้ำมัน Brent ปรับลงติดต่อกัน 2 วัน หลังจาก OPEC+ ปรับลดคาดการณ์ Demand การบริโภคน้ำมันทั่วโลกลดลง 3 แสนบาร์เรล/วันจากการคาดการณ์ครั้งก่อน อยู่ที่ 5.6 ล้านบาร์เรล/วันในปีนี้ และคาดการณ์ฝั่ง Supply ปริมาณน้ำมันทั่วโลกขยายตัว 2 แสนบาร์เรล/วันจากการคาดการณ์ครั้งก่อน สู่ระดับ 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน โดยคำแนะนำหุ้นพลังงาน แนะนำหาจังหวะเข้า trading ทั้ง PTT (Buy: FV@B48.5) และ PTTEP (Buy: FV@B118)
2.PMI ภาคการผลิตของยุโรปและสหรัฐฯ เดือน มี.ค. ซึ่ง Consensus ใน Bloomberg คาดจะขยายตัวดีขึ้น จากเดือน ก.พ. หากออกมาดีถือเป็น Sentiment บวกต่อตลาดหุ้นโลก
www.mitihoon.com