ORI อสังหาฯพารวย! เดินเกมดันลูกเข้าเทรด

741

ภายหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย ประกอบภาครัฐออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ผลักดันให้กำลังซื้อในประเทศฟื้นตัวโดดเด่น และยังเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดการการลงทุนและการแข่งขันในอุตสาหกรรมต่างๆโดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ปัจจุบันผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เริ่มทยอยเร่งออกโครงการใหม่มากขึ้น

โดยเฉพาะ “บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือORI” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมตามแนวสถานีขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล บริษัทมีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายสามารถจดจำชื่อของบริษัทในฐานะผู้ประกอบการชั้นนําในธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมที่มีการออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้ทั้งด้านรูปแบบโครงการ ทำเล ในราคาที่เหมาะสม

ลุยเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง

ปัจจุบัน ORI ที่มีธุรกิจหลัก 2 ธุรกิจ ประกอบด้วย “ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์” และ “ธุรกิจให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” โดย “ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์” ORI ได้พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้วกว่า 112 โครงการ (สิ้น Q3/65) ได้แก่ แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) มีมูลค่าโครงการรวมกว่า 172,000 ล้านบาท

สำหรับ Q4/65 บริษัทยังได้เปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มเติมอีกประมาณ 8-13 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ ได้แก่ 1.ORIGIN COURTYARD THONGLOR, 2.ORIGIN Plug & Play Sri Lasalle Station, 3.ORIGIN Play Bangkhunnon Triple Station, 4.KnightsBridge Space Rayong และ 5.ORIGIN Play Bangsan เป็นต้น และโครงการแนวราบ ประกอบด้วย 1.Grand Britania Bangna KM.35, 2.Britania Rayong และ 3.Britania UDON DUSADEE เป็นต้น

ส่วน “ธุรกิจให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” นั้น ดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทย่อย อย่าง “บมจ.พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น หรือPRI” ที่เพิ่งเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 30 พ.ย.65ที่ผ่านมา โดยให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับการบริหารนิติบุคคล อาคารชุด รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ

อย่างไรก็ตามทาง PRI มีบริษัทย่อยอีก 6 บริษัท คือ พรีโม เรียลเตอร์ ดำเนินธุรกิจให้บริการเป็นตัวแทนการขายและบริการจัดหาผู้เช่าห้องชุด (ลูกค้าต่างชาติ), อูโน่ เซอร์วิส ให้บริการแม่บ้าน ช่างซ่อมบำรุง และบริการซักอบรีด, พรีโม เมเนจเม้นท์ ทำหน้าที่บริหารนิติบุคคลอาคารชุด, ยูไนเต็ด โปรเจคต์ แมเนจเมนท์ ดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษาและควบคุมงานด้านการก่อสร้าง, พรีโม เดคคอร์ ดำเนินธุรกิจให้บริการตกแต่งภายใน และ คราวน์ เรสซิเดนซ์ ให้บริการบริหารจัดการอาคารชุดระดับลักชัวรี่

ทั้งนี้ในปี 65 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมอยู่ที่ 17,500 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ (โครงการ ORI พัฒนาเอง) จำนวน 15,000 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจอื่นๆ จำนวน 2,500 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขาย แตะระดับ 35,000 ล้านบาท รวมถึงปี 66 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวม 20,000 ล้านบาทและมีแผนเปิด ไม่น้อยกว่า 11 โครงการ จากปี 65 เปิดไปแล้ว 31 โครงการ

ลุยนำบ.ลูกเข้าตลาด

ขณะที่ในปี 66 ORI มีแผนนำ บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด และบริษัทย่อยที่ร่วมทุนกับ บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ หรือJWD อย่าง บริษัท แอลฟา อินดัสเทเรียล โซลูชั่น จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในปี 68 รวมถึงตั้งเป้าหมายที่จะทำให้ Market Cap. แตะ 100,000 ล้านบาท ภายในปี 68 อีกด้วย

ขณะเดียวกัน ORI มี Market Cap. ที่ 26,504.52 ล้านบาท P/E 7.47 เท่า อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 5% มีผลดำเนินงานในช่วง 9 เดือนปี 65 มีรายได้รวมอยู่ที่ 10,626.98 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,741.16 ล้านบาท เติบโต 14.88% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 64 ที่มีกำไรสุทธิ 2,386.08 ล้านบาท

3 โบรกเชียร์ “ซื้อ”

พร้อมกันนี้จากการเข้าสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ต่างให้น้ำหนัก “เข้าลงทุนในหุ้น ORI” นำโดยบล.เอเซีย พลัส แนะ “ซื้อ” ORI ด้วยมูลค่าพื้นฐานในปี 66 ที่ 12.30 บาท ซึ่งคาดการณ์จากกำไรปกติของ Q4/65 สูงสุดของปี เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 64 และผลักดันกำไรปกติปี 65 อยู่ที่ 2.89 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 64 ได้รับอานิสงค์จากที่บริษัทส่งมอบ 4 โครงการ, JV ใหม่ เข้ามาเพิ่มส่วนแบ่งกําไรบริษัทร่วม

ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะ “ซื้อ” ORI ราคาเป้าหมาย 13 บาท โดยทางนักวิจัยได้ประมาณการกำไรปกติปี 65 อยู่ที่ 3 พันล้านบาท เติบโต 20% จากงวดเดียวกันของปี64 และเติบโต 26% จากงวดเดียวกันของปี 65 ที่ 3.8 พันล้านบาทในปี 66

ส่วนบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) แนะ “ซื้อ” ORI ราคา 13.50 บาท คาดว่ากำไรสุทธิ Q4/65 จะอยู่ที่ 670 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% YoY โดยกำไรที่เพิ่มขึ้น ได้รับอานิสงส์มาจากยอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึง อัตรากำไรขั้นต้นของโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเป็น 33.8% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยอดขายจากโครงการใหม่ๆ

@mitihoonwealth

https://lin.ee/cXAf0Dp