กำไรบจ.ครึ่งปีหลังลูกผีลูกคน

677

จากการรายงานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ประกาศผลดำเนินการในงวดครึ่งแรกปี 2566 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)ที่นำส่งงบทั้งหมด ส่งผลให้บจ. ใน SET มีผลกำไรจากการดำเนินงานหลักอยู่ที่ 748,147 ล้านบาท ลดลง 32.5% YoY และกำไรสุทธิ 456,787 ล้านบาท ลดลง 26.6% YoY และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ระดับ 1.53 เท่า ลดลงจาก 1.59 เท่า ในครึ่งแรกปี 2565

ตัดกลับมาที่ ผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2566 ของ บจ. ใน mai ที่มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 5,550 ล้านบาท ลดลง 14.1% YoY และกำไรสุทธิ 1,503 ล้านบาท ลดลง 71.0% YoY

ดังนั้น จากผลดำเนินการในครึ่งแรกที่มีกำไรลดลง ข้างต้น จะส่งผลให้กำไรในช่วงครึ่งหลังปี 2566 เป็นอย่างไร ประกอบกับจะมีปัจจัยหนุน และกดดันอะไรบ้าง

กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี กำไรอ่อนตัว

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ราคาน้ำมัน และค่าการกลั่นปรับตัวลง สอดคล้องกับธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมี ที่มียอดขาย และกำไรอ่อนตัวลง อย่างไรก็ดี ธุรกิจอื่นๆ พบว่า ยอดขายขยายตัวประมาณ 4.5% โดยเฉพาะ ธุรกิจภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร และสายการบิน

ปัจจุบัน บจ. ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินธุรกิจหลากหลายปัจจัย รวมถึง ต้นทุนการผลิตที่ยืนอยู่ในระดับสูง กิจกรรมการขายที่ฟื้นตัวและมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังผ่านพ้นสถานการณ์โควิด และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอีกด้วย

จัด 3 ธีม รับปัจจัย 3 ด้าน

บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า กำไรบจ.ในปี 2566 มีโอกาสปรับตัวลดลง คาดว่าจะปรับลงไม่เกิน 5% จากคาดการณ์เดิมอยู่ที่ 1.12 ล้านล้านบาท (กำไรบจ.ทั้งหมด) ซึ่งกลุ่มบจ.ที่ฉุดกำไรในปี 2566 คาดว่ายังคงเป็น กลุ่มโรงไฟฟ้า, กลุ่มสื่อสาร ฯลฯ

สำหรับเทรนด์กำไรบจ.ปี 2566 เป็นทิศทางปรับตัวลง ซึ่ง Bloomberg consensus เมื่อต้นปี 2566 EPS อยู่ที่ 106 บาทต่อหุ้น โดยปรับตัวลง 91.4 บาทต่อหุ้น อย่างไรก็ตามหากกำไรบจ.ปรับตัวลดลง จะส่งผลให้เป้าหมายดัชนีปี 2566 ปรับลงเช่นกัน ขณะที่ ปัจจัยด้านการเมืองมีทิศทางพัฒนาการที่ดี สนับสนุนฟันด์โฟลว์ไหลเข้า

จับตา 4 ปัจจัยครึ่งหลัง

บล.ลิเบอร์เรเตอร์ ระบุว่า สถานการณ์ในช่วงที่ผ่าน ส่งผลให้ครึ่งหลังปี 2566 ยังคงมีหลายปัจจัยเข้ามากดดันตลาด และหนุนตลาด ซึ่งมีอยู่ 4 ปัจจัยหลัก ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงบริษัทจดทะเบียน โดยเริ่มจาก นโยบายของภาครัฐ เนื่องจากพึ่งเริ่มมีรัฐบาลใหม่เมื่อไม่นานมานี้ ทำให้ยังคงต้องจับตาดูมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาในระยะสั้น ว่าจะสามารถ เร่งเครื่อง ในเชิงเศรษฐกิจ ได้แก่ ด้านท่องเที่ยว และหนี้ต่าง ๆ

สำหรับในส่วนของด้านส่งออกยังคงต้องจับตาภาพใหญ่ อย่างเศรษฐกิจโลกในปี 2567 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ยังคงต้องรอดูเกี่ยวกับนโยบายของภาครัฐ เป็นอย่างแรกก่อน

ปัจจัยที่ 2 ยังคงต้องมองในส่วนของ นโยบายทางการเงิน ที่เข้าใกล้ช่วง หัวเลี้ยวหัวต่อ เนื่องจากนโยบายการเงินอยู่ในช่วงขาขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งขณะนี้ทั้งในและต่างประเทศเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นเกี่ยวกับเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ในเดือนก.ย.66 ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่มองว่าอาจจะเป็นคงอัตราดอกเบี้ย

อย่างไรก็ตาม หากมุมมองของดอกเบี้ยไม่ได้รุนแรง จะถือว่าเป็นต้นทุนของบริษัทจดทะเบียน สอดคล้องกับภาพรวมแรงกดดันของกำไรตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่าจะปรับตัวน้อยลง

ปัจจัยที่ 3 จะเชื่อมโยงถึงสภาพอากาศในปี 2566 ซึ่งเห็นได้ชัด คือ เอลนีโญ เนื่องจากเริ่มเป็นที่สนใจของนักลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะจะส่งผลให้สินค้าเกษตรมีผลผลิตออกมาได้ต่ำ อาจทำให้ราคาสินค้าเกษตรกระตุกขึ้น จะส่งผลต่อเนื่องให้กลุ่ม Community กระตุกขึ้นเช่นกัน หากในกลุ่มนี้กระตุกขึ้นแรงๆ เร็วๆ มองว่าจะเป็นผลมาจากต้นทุนของบริษัทต่างๆ ที่ต้องใช้ ไม่ว่าจะเป็น น้ำมัน, สินค้าเกษตรเป็นต้นทุน เช่น น้ำตาล, ยาง เป็นต้น ที่จะเข้ามามี Impact ด้วย ซึ่งยังคงต้องจับตาดูต่อ

ปัจจัยที่ 4 ยังคงมองไปที่เศรษฐกิจโลก เนื่องจากยังคงมีความสุ่มเสี่ยง เช่น เศรษฐกิจจีน ที่มีแนวโน้มที่จะเสี่ยง โดยเฉพาะด้านอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ดี ในส่วนของราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน เริ่มมีแรงดีดกลับมาดีขึ้น ประกอบกับภาครัฐของจีนที่พยายามจะเข้ามาช่วย ทำให้ดันเศรษฐกิจจีนกลับมาดีขึ้น รวมถึงภาพรวมในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนปลดล็อกมากขึ้น มองว่าเป็นปัจจัยที่น่าจับตาเนื่องจากเศรษฐกิจจีนมีส่วนเชื่อมกับเศรษฐกิจโลก

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon