เริ่มต้องระวังนโยบายสหรัฐฯอีกครั้ง

84

สวัสดีนักลงทุนทุกท่านครับ .. ตลาดหุ้นในช่วงสัปดาห์ก่อนนั้น นักลงทุนจับตาดูเรื่องการแถลงของประธาน Fed คนใหม่ในเรื่องนโยบายและทิศทางของการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งทิศทางก็เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่า Fed จะมีการขึ้นดอกเบี้ยประมาณ 4 ครั้งในปีนี้ แต่ดูเหมือนประเด็นเรื่องของ Fed กลับไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกมาระบุว่าจะมีการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก-อลูมีเนียม ส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดความตกใจและปรับตัวลงกันทั่วโลกรวมทั้งหุ้นไทยด้วย เพราะเกรงว่าการตั้งกำแพงภาษีดังกล่าวส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าสำคัญ และอาจจะเกิดการตอบโต้ทางการค้าได้โดยเฉพาะจากยุโรปและจีน

แม้ว่าในวันต่อมาจะมีข่าวว่าทรัมป์อาจยกเลิกการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก-อลูมิเนียม ทำให้ตลาดกลับมาปรับตัวบวกขึ้นบ้าง แต่ก็ยังมีการจับตาดูในเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ขณะที่ความเห็นจากผู้จัดการกองทุนและเจ้าของBridge water ระบุว่าความขัดแย้งในเรื่องการค้าระหว่างประเทศที่อาจจะไปขั้นสงครามการค้า (Trade war) นั้นเป็นเพียงการแสดงทางการเมืองเท่านั้นอีกทั้งโฆษกทำเนียบขาวอย่างนาย Ryan paul ออกมาแถลงการณ์ว่า ทรัมป์ จะนำนโยบายดังกล่าวไปพิจารณาใหม่อีกครั้ง

ส่วนทางด้านยุโรปตลาดมีการปรับตัวบวกหลังจากผลการเลือกตั้งอิตาลีออกมาดีกว่าคาด +1.04% โดยการเลือกตั้งของอิตาลีในวันอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น ออกมาดีต่อสหภาพยุโรปโดยรวม ซึ่งผู้ชนะนั้นเป็นพรรค populist ของนาย Matteo Salvini ผู้น าพรรคขวาสุดและมีแนวคิดต่อต้านผู้อพยพ โดยการชนะของนายMatteo นั้นช่วยลดแรงกดดันของการเกิด Italexit ลง อย่างไรก็ดีเราพบว่าความเป็นไปได้ที่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคที่เหลือนั้นมีค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับกรณีพรรค five starชนะเสียงข้างมาก

จากประเด็นสำคัญดังกล่าวนั้น หากมามองที่ตลาดหุ้นไทยแล้วจะเห็นว่ามีแรงขายทำกำไรออกมาเช่นเดียวกันตลาดในภูมิภาคและยังมีทิศทางที่ค่อนข้างผันผวน บวกกับตลาดปัจจุบันอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง หุ้นกลุ่มหลักที่เป็นตัวนำตลาดเริ่มหมดลง ทำให้มีการมองกันว่าแนวโน้มตลาดในสัปดาห์นี้อาจปรับตัวลงหลุด 1,800 จุดได้

อย่างไรก็ตามกลยุทธ์การลงทุนในตลาดแบบนี้ที่ยังมีปัจจัยจากต่างประเทศที่ยังไม่นิ่ง การลงทุนในหุ้นคงต้องระมัดระวัง สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นก็สามารถรอซื้อหุ้นที่ราคาตกลงมามากได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีระดับ P/E สูงๆ เพราะอาจจะเสี่ยงต่อการเทขายทำกำไรได้ โดยมองแนวรับอยู่ที่ระดับ 1,780 – 1,790 จุด ขณะเดียวกันด้วยสภานการณ์ของต่างประเทศที่ยังดูไม่ดีนัก การลงทุนควรเลือกเป็นรายกลุ่มไปโดยเฉพาะกลุ่มที่เติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ หรือถือเงินสดเพื่อรอจังหวะการเข้าลงทุนนะครับ …

ชาตรี  โรจนอาภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ 

บล. เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (KTBST)