TOP กางแผน5ปี ใช้งบ 5.1 พันล้านดอลลาร์ฯ เสริมแกร่งกิจการครบวงจร

136

มิติหุ้น – TOP อัดงบลงทุน 5 ปี 5.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปี62 เตรียมงบ 1.37 พันล้านดอลลาร์ฯ เริ่มลงทุนโครงการ CFP ต้นปีหน้า ส่วนแนวโน้มไตรมาส4/61 ค่าการกลั่นลด ขาดทุนสต๊อกน้ำมัน ภาพรวมทั้งปี61 กำลังการกลั่นสูง 111% ยอดขาย 3 แสนล้านบาทประเมินราคาน้ำมันปี 62 เฉลี่ย 70-75 ดอลลาร์ ความต้องการใช้โตตามจีดีพี

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP ผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมัน โดยนายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เผยว่า แผนลงทุน 5 ปี (62-66) บริษัทได้อนุมัติงบลงทุน 5,160 ล้านดอลลาร์สหรัฐโดยในสัดส่วนนี้เป็นเงินลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ (CFP) 4,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนที่เหลือ 10% ลงทุนโครงการต่อเนื่องในปี 61-60 ไม่ว่าจะเป็นโครงการขยายท่าเรือ การสร้างถังเก็บน้ำมันดิบ โครงการลดต้นทุนภายในองค์กร ขณะในปี 62 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 1,370 ล้านดอลลาร์สหรัฐส่วนเป็นลงทุนโครงการ CFP ที่จะเริ่งลงทุนไตรมาส1/61

ทั้งนี้ในปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดประมาณ 60,000-70,000 ล้านบาทบวกกับการออกหุ้นกู้ราว 32,000 ล้านบาททำให้มีศักยภาพเพียงพอในการลงทุนโดยไม่มีความจำเป็นต้องระดมทุนเพิ่มไปจนถึงปี 63 ขณะที่อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.2 เท่า

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส4/61 จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง โดยราคาน้ำมันดิบดูไบปัจจุบันอยู่ที่ 58-59 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เทียบกับไตรมาส3/61 ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 77.2 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลส่งผลให้ไตรมาส4 นี้ขาดทุนสต๊อกน้ำมัน ขณะที่ค่าการกลั่น หรือGRM อยู่ที่ 4.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ค่าการกลั่นรวม (ไม่รวมสต๊อกน้ำมัน) หรือ GIM อยู่ที่ 6.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลซึ่งปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส3/61 GRM อยู่ที่ 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล GIM อยู่ที่ 7.2 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ส่วนภาพรวมทั้งปี 61 คาดว่า GRM จะอยู่ที่ระดับ 4.7 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล GIM อยู่ที่ระดับ 6.9 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันคาดว่าจะปิดที่ระดับ 60-59 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เทียบกับปี 60 ราคาน้ำมันอยู่ที่ 61.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลดังนั้นในภาพรวมทั้งปีนี้จะขาดทุนสต๊อกน้ำมันเล็กน้อย ขณะส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซล-น้ำมันอากาศยานเทียบน้ำมันดิบดูไบจะเฉลี่ยที่ 13 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลอยู่ในเกณฑ์ที่สูง ขณะที่ส่วนต่างพาราไซลีน กับแก๊สโซลีน ปี 61 คาดเฉลี่ย 380 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน

สำหรับส่วนต่างราคาน้ำมันแก๊สโซลีน หรือ น้ำมันเบนซิน เทียบน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 2-3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลต่อการใช้น้ำมันเบนซินลดลง ด้านภาพรวมยอดขายปี 61 อยู่ที่ 300,000 ล้านบาทปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปี 60 ที่มียอดขายในระดับ 337,388 ล้านบาท กำลังการผลิตในปีนี้คาดว่าจะทำได้ในระดับ 111% ใกล้เคียงกับปี 60 ที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 112%

ส่วนการดำเนินปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่น หรือ margin improvementในปี 61 ทำได้ในระดับ 4,600 ล้านบาทเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1,500 ล้านบาท โดยเป็นการดำเนินการลดต้นทุนวัตถุดิบด้วยการคัดเลือกวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนในขบวนการขนส่ง การลดต้นทุนการผลิต ส่วนปี 62 ตั้งเป้าไว้ที่ 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นที่ระดับ 540 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
นอกจากนี้ “นายอธิคม” ยังได้ประเมินราคาน้ำมันในปี 62 คาดว่าจะเฉลี่ยในระดับ 70-75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังกลุ่มโอเปกแบะนอนโอเปกบรรลุข้อตกลงลดปริมาณกำลังการผลิตน้ำมัน 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันซึ่งจะทำให้ปริมาณผลิตลดลงมาสมดุลกับความต้องการใช้ในตลาดโลก อย่างไรก็ตามก็ต้องติดตามปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลกด้วย โดยเฉพาะสงครามการค้า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยขอธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันลดลง

พร้อมกันนี้ TOP ยังได้ประเมินค่าการกลั่นในปี 62 GRM 6.7 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล GIM 8.9 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล คาดกำลังการผลิตในปี 62 คาดว่าอยู่ในระดับ 103% เนื่องจาก TOP จะมีการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในบางหน่วยซึ่งอยู่ระหว่างการประเมินว่าจะหยุดซ่อมบำรุงกี่วัน ขณะความต้องการใช้น้ำมันในประเทศคาดว่าจะเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจโลกคาดว่าจะอยู่ในระดับ 3.6-3.7% ส่วนความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยคาดว่าความต้องการใช้น้ำมันดีเซลจะเติบโตขึ้น 3-4% เบนซิน 3.8% น้ำมันอากาศยาน 3.1%

สำหรับธุรกิจผลิตสาร Linear Alkyl Benzene (LAB) ปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1 แสนตันต่อปีโดยส่วนใหญ่เป็นกำลังการผลิตจำหน่ายในประเทศ 60% ส่งออกต่างประเทศ 40% โดยมองว่าจะมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก เนื่องจากว่าปัจจุบันกำลังการผลิตรวมของตลาดโลกอยู่ที่ 2.5 ล้านตันต่อปี โดยในระยะ 5 ปีคาดว่าจะมีกำลังการผลิจในตลาดโลกเข้ามาเพิ่มอีกโดยเฉพาะกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลาง

www.mitihoon.com