PACE เผยปิดสาขา “ดีนแอนด์ เดลูกา” ที่อเมริกา แค่ปรับโครงสร้าง มุ่งโฟกัสขยายสาขาที่เอเชีย รุกธุรกิจอสังหาฯ มูลค่า 1.52 หมื่นลบ. พร้อมลุยแผนปลดเครื่องหมาย C

240

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น หรือ PACE ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ ธุรกิจไลฟ์สไตล์รีเทลด้านอาหารและเครื่องดื่มกูร์เม่ต์ โดยนายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยถึง กรณีบริษัทปิดสาขาของ ดีน แอนด์ เดลลูก้า ที่สหรัฐหลายสาขา เป็นการปรับโครงสร้างใหม่ แยกเป็นเอเชีย กับไม่รวมเอเชีย โดยการดำเนินธุรกิจที่อเมริกาในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างท้าทาย เพราะธุรกิจดิสรัปชั่นจากเรื่องออนไลน์ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งก่อนหน้านี้มีจำนวน 6 สาขา และปิดไปแล้วปัจจุบันยังเหลืออยู่ 2 สาขา

อย่างไรก็ตาม บริษัทจะมุ่งทำธุรกิจดีน แอนด์ เดลลูก้า ในเอเชีย ซึ่งปัจจุบันมี 60 สาขา รวมไทย และผลประกอบการปีที่ผ่านมา เติบโตกว่า 15% โดยทุกสาขาในเอเชียมีกำไรหมด และสาขาในไทย 11 สาขา มีผลการดำเนินงาน 12 เดือนย้อนหลัง ดีกว่าปีก่อนหน้านั้น 17% และกำไรดีขึ้นทุกสาขา ส่วนการปิดสาขาที่ตึกมหานครไปเนื่องจากสัญญาเช่าหมดอายุ ปิดมาประมาณ 2 เดือนแล้ว แต่ยอดขายไม่ได้ตกลงและเกือบจะเท่าเดิม ขณะที่ลูกค้าประจำยังไปทานที่สาขาอื่น และปีนี้มีแผนจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 4 สาขา แบ่งเป็น ในกรุงเทพ 2 แห่ง และให้เปิดแฟรนไชส์ที่ภูเก็ต 2-3 สาขา ทั้งนี้ บริษัทประเมินผลประกอบการดีนแอนด์ เดลลูก้าในเอเชีย ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า คาดว่าจะมีกำไรราว 650 ล้านบาท

ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 3 โครงการ รวม 1.52 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 1.โครงการมหาสมุทร ในส่วนของ “วิลล่า” จำนวน 80 ยูนิต มูลค่า 4,000 ล้านบาท ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ 100% มียอดขายแล้ว 20% หรือมูลค่า 800 ล้านบาท ส่วน “ไพรเวทคันทรี่ คลับ” ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 70%

ส่วน 2. “โครงการนิมิต หลังสวน” จำนวน 176 ยูนิต มูลค่า 8,200 ล้านบาท ปัจจุบันก่อสร้างแล้วประมาณ 65-70% มียอดขายแล้ว 94% คาดโครงการนี้จะแล้วเสร็จพร้อมโอนฯในกลางปี 63 และ 3.“โครงการ วินด์เชลล์ นราธิวาส” จำนวน 36 ยูนิต มูลค่า 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 30 % หรือ 800-900 ล้านบาท คาดจะเริ่มทยอยโอนฯ ต้งแต่ไตรมาส 3/62 นี้

สำหรับโครงการอสังหาฯพัฒนาแล้วเสร็จ 3 โครงการ อาทิ 1.โครงการคอนโดฯ “ไฟคัส เลน” จำนวน 70 ยูนิต มูลค่า 900 ล้านบาท, 2.โครงการคอนโดฯ “ศาลาแดง เรสซิเดนเซส” จำนวน 132 ยูนิต มูลค่า 2,310 ล้านบาท และ 3. โครงการมหานคร จำนวน 209 ยูนิต มูลค่า 15,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ กรณีหุ้นของบริษัทติดเครื่องหมาย C เนื่องจากสัดส่วนทุนน้อยกว่าครึ่งของทุนจดทะเบียน ซึ่งบริษัทมีแผนเพิ่มสัดส่วนทุน และปีหน้าจะมีการโอนโครงการคอนโดฯ ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นจากธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ โดยผู้บริหารเชื่อมั่นว่าทุกโครงการจะสามารถทำกำไร