ARROW โชว์ผลงาน 9 เดือน โดดเด่น มีกำไร 150.93 ล้านบาท โต 38% จากปีก่อน

33

มิติหุ้น- ARROW โชว์ผลงาน 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 150.93 ล้านบาท โต 38% จากปีก่อน ขณะที่ไตรมาส 3/2562 มีกำไรสุทธิ 64.72 ล้านบาท โต 47% จากปีก่อน จากความต้องการในการใช้วัสดุสำหรับงานระบบประกอบอาคารและโครงสร้างพื้นฐานที่มีแนวโน้มเชิงบวก “ธานินทร์ ตันประวัติ” เผยภาพรวมธุรกิจยังมีความสามารถในการทำกำไรได้ดีต่อเนื่อง มั่นใจรายได้ปี 2562 แตะ 1.6 พันล้านบาท ตามเป้า ตุน Backlog กว่า 1 พันล้านบาท

นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอร์โรว์ ซินดิเคท (ARROW) เปิดเผยถึงผลประกอบการงวด 9 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 150.93 ล้านบาท เทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 109.06 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 41.87 ล้านบาท คิดเป็น 38.39% ขณะที่ไตรมาส 3/2562 มีกำไรสุทธิ 64.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 44.09 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20.63  ล้านบาท คิดเป็น 46.79% โดยสาเหตุของผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นจากเสถียรภาพของวัตถุดิบและปัจจัยหนุนจากค่าเงินบาท

สำหรับแนวโน้มของธุรกิจในช่วงท้ายของปีนี้ คาดว่ายังคงกลับมาโดดเด่นต่อเนื่อง เนื่องจากคำสั่งซื้อที่มีความสม่ำเสมอ และมีงานรอรับรู้รายได้ (Backlog) เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีกว่า 1,000 ล้านบาท รวมทั้งแนวโน้มของราคาวัตถุดิบหลักอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และแนวโน้มของงานโครงการต่างๆเริ่มฟื้นตัวจากงานสาธารณูปโภคพื้นฐานและงานโครงการขนาดใหญ่ จากกำไรขั้นต้นที่ฟื้นตัวโดดเด่นมาที่ 20-30% ทำให้เชื่อมั่นว่าผลประกอบการจะเติบโตได้ตามคาดหมาย

ทั้งนี้จากผลประกอบการไตรมาส 3/2562 ที่สามารถทำกำไรขั้นต้นได้ตามเป้าหมาย รวมทั้งสัญญาณการเร่งรัดงานโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่จะสามารถทำให้ ARROW กลับมาแข็งแกร่งในภาพรวมของธุรกิจ อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะเกิดโครงการขนาดใหญ่ในระยะเวลาอันใกล้หลายโครงการที่ช่วยผลักดันภาพรวมของธุรกิจก่อสร้าง ซึ่งการที่บริษัทเป็นผู้นำตลาดท่อสำหรับงานระบบ ปัจจุบันราคาวัตถุดิบอยู่ในราคาที่เหมาะสมและจากความสามารถในการควบคุมต้นทุนได้ดี มีความยืดหยุ่นในการบริหารตัวแทน ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทมีแนวโน้มที่จะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมั่นใจว่ารายได้ในปี 2562 จะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 พันล้านบาท จากปีก่อน 1.49 พันล้านบาท โดยการเติบโตดังกล่าวจะมาจากการจำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้าโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่มีความต้องการใช้ท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินค่อนข้างมาก